7 สมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ และอีกหลายประโยชน์ดีๆ สำหรับสุขภาพ
พืชหลายชนิดมีสาร Antioxidants ตามธรรมชาติที่นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ใช้เป็นสมุนไพรเสริมระบบภูมิคุ้มกันได้ ช่วยให้ร่างกายเพิ่มภูมิต้านเชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ รวมถึงต้านอนุมูลอิสระ
นอกจากนี้ สารประกอบหลายชนิดในสมุนไพรยังสามารถช่วยลดความวิตกกังวล ความเครียด และทำให้อารมณ์ดีขึ้น ซึ่งมีส่วนสำคัญกับระบบภูมิคุ้มกันอีกต่อนึงด้วย
ออริกาโน - Oregano
ออริกาโน มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ ต่อสู้กับการติดเชื้อทางเดินหายใจ ช่วยระบบย่อยอาหาร แถมช่วยลดความวิตกกังวล และความหงุดหงิดที่เกิดจากความเครียด
ออริกาโน (Origanum vulgare) เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม นิยมใช้ในการปรุงอาหารประเภท พาสต้า และเนื้อสัตว์ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าออริกาโนยังสามารถเปลี่ยนเป็น น้ำมันหอมระเหยออริกาโน เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพได้อีกด้วย
น้ำมันหอมระเหยออริกาโน ได้มาจากใบ และดอกของออริกาโน (Origanum vulgare)
ชาวกรีก และโรมันโบราณใช้ ออริกาโน เพื่อการรักษาโรคต่างๆ ออริกาโนมาจากคำภาษากรีก “oros” และ “ganos” ซึ่งเป็นคำที่ใช้แทนภูเขา และความสุข ออริกาโนแปลว่า “ความสุขของภูเขา”
ออริกาโนมีมากกว่า 40 สายพันธุ์
แต่พันธุ์ที่มีประโยชน์ในการรักษาโรคมากที่สุดคือ น้ำมันหอมระเหยที่ผลิตจาก ออริกาโนป่าหรือ Origanum vulgare ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกันที่อุดมไปด้วยไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสารประกอบอันทรงพลังที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
6 ประโยชน์ต่สุขภาพจากน้ำมันหอมระเหยออริกาโน (Oregano)
1. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
ออริกาโน อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยต่อต้านความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย
การสะสมของอนุมูลอิสระเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ
การวิจัยทดลองหลายชิ้นพบว่าน้ำมันออริกาโนมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง น้ำมันหอมระเหยออริกาโนมีสาร carvacrol และ thymol สูงเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสองชนิดที่สามารถช่วยป้องกันความเสียหายต่อเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
2. ช่วยลดการอักเสบ
การอักเสบเรื้อรัง อาจจะจะนำไปสู่การพัฒนาของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และภาวะแพ้ภูมิตัวเอง
ออริกาโนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญอย่าง carvacrol ซึ่งสามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบได้
มีการวิจัยคุณสมบัติต้านการอักเสบของ ออริกาโน โดยศึกษาในสัตว์ทดลอง ซึ่ง ส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยไธม์ และออริกาโนช่วยลดการอักเสบในหนูที่เป็นโรคลำไส้ใหญ่บวม หรือลำไส้ใหญ่อักเสบ
3. เป็นยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติ
คาร์วาครอล (Carvacrol) ที่อยู่ในออริกาโนอาจช่วยต่อสู้กับแบคทีเรียได้
Staphylococcus aureus (MRSA) แบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฎิชีวนะเมธิซิลลิน และเป็นหนึ่งในสาเหตุของการติดเชื้อ เช่น อาหารเป็นพิษ หรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง
มีงานวิจัยพบว่าน้ำมันหอมระเหยออริกาโนช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของหนู 14 ตัวที่ติดเชื้อ MRSA โดยหนูทดลองที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยออริกาโน มีอัตรารอดชีวิตสูงถึง 43% เมื่อเทียบกับหนูที่ได้รับยาปฏิชีวนะ ซึ่งมีอัตรารอดชีวิตที่ 50%
ยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า น้ำมันหอมระเหยออริกาโน อาจมีผลกับแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะบางชนิด ซึ่งรวมถึง Pseudomonas aeruginosa และ E.Coli ซึ่งเป็นสาเหตุทั่วไปของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและ ทางเดินหายใจ
4. อาจช่วยลดการติดเชื้อไวรัส
นอกเหนือจากการต่อสู้กับแบคทีเรียแล้ว มีงานวิจัยพบว่าสารประกอบ Carvacrol และ Thymol ในออริกาโน อาจป้องกันไวรัสบางชนิดได้ด้วย
งานวิจัยในหลอดทดลองพบว่าสาร Carvacrol ทำให้เชื้อ norovirus ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงคลื่นไส้ และปวดท้อง สิ้นฤทธิ์ภายในหนึ่งชั่วโมง
5. มีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง
ออริกาโนมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง สารประกอบเหล่านี้ไม่เพียงแต่สามารถต่อต้านความเสียหายจากอนุมูลอิสระ แต่ยังอาจช่วยในการป้องกันมะเร็งได้ด้วย
มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าสารประกอบในออริกาโนอาจช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้
โดยทดลองการรักษาเซลล์มะเร็งลำไส้ของมนุษย์ในหลอดทดลอง ด้วยสารสกัดจากออริกาโน พบว่าสามารถหยุดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง รวมถึงช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งได้
งานวิจัยอีกชิ้นแสดงให้เห็นว่า Carvacrol ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบในออริกาโนยัง ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่
6. อาจช่วยลดคอเลสเตอรอล
สารประกอบ Thymol และ Carvacrol ในน้ำมันออริกาโนอาจช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
มีงานวิจัยศึกษาอาสาสมัคร 48 คนที่มีคอเลสเตอรอลสูงเล็กน้อย ผู้เข้าร่วมทดลองจะได้รับสารสกัดจากน้ำมันออริกาโน 25 มล. หลังอาหารแต่ละมื้อ หลังจาก 3 เดือน พบว่าผู้ที่ได้รับน้ำมันออริกาโนจะมีคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) ลดลง และ คอเลสเตอรอลดี (HDL) สูงขึ้น
สารประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหย Oregano
น้ำมันหอมระเหยออริกาโน อุดมไปด้วย ฟีนอล (Phenols) ซึ่งเป็นสารประกอบทางเคมีธรรมชาติที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฟีนอลสองชนิดที่สำคัญในออริกาโนคือ:
ไทมอล (Thymol)
สารฆ่าเชื้อราตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ทำงานเป็นเกราะป้องกันสารพิษ และยังช่วยป้องกันความเสียหายของเนื้อเยื่อ รวมถึงช่วยกระตุ้นการรักษาของเนื้อเยื่อด้วย
คาร์วาครอล (Carvacrol)
มีผลต่อการต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด เช่น Candida albicans, Staphylococcus, E. coli, campylobacter, Salmonella, klebsiella, เชื้อรา aspergillus, giardia, pseudomonas และ listeria
Carvacrol ในน้ำมันออริกาโนยังทำหน้าที่เป็นสารไล่แมลงตามธรรมชาติอีกด้วย
สารประกอบอื่น ๆที่ดีต่อสุขภาพในน้ำมันออริกาโน ได้แก่
เทอร์ปีนส์ (Terpenes)
ขึ้นชื่อในเรื่องคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย
กรดโรสมารินิก (Rosmarinic acid)
สารต้านอนุมูลอิสระที่ป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระ มีผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาโรคหอบหืดจากภูมิแพ้ รวมทั้งป้องกันมะเร็ง และหลอดเลือด
นอกจากนี้ยังเป็นสารต่อต้านฮีสตามีน (Antihistamine) ตามธรรมชาติ ที่ช่วยลดการสะสมของของเหลวและอาการบวมที่เกิดจากการแพ้
นารินจิน (Naringin)
ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ
เบต้า-แคโรไฟลีน (Beta-caryophyllene)
ช่วยยับยั้งการอักเสบ และเป็นประโยชน์ต่อสภาวะต่างๆ เช่นโรคกระดูกพรุนและภาวะเส้นเลือดอุดตันเช่นเดียวกับโรค metabolic syndrome
น้ำมันออริกาโนยังอุดมไปด้วยสารสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามิน A, C และ E แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี เหล็ก โพแทสเซียม แมงกานีส ทองแดงโบรอน และไนอาซิน
ไธม์ - Thyme
ไธม์ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ไธม์ช่วยร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ และโรคหวัดได้ ช่วยคลายเครียดระบบประสาท และช่วยบรรเทาอาการปวดท้องด้วย
ไธม์ (Thymus vulgaris) เป็นสมุนไพรเสริมภูมิต้านทานตระกูลมินต์ น้ำมันหอมระเหยไธม์ ใช้ในการปรุงอาหาร ทำน้ำยาบ้วนปาก และยาอายุวัฒนะ ไธม์ยังมีคุณสมบัติทางยาอีกมากมาย
8 ประโยชน์ต่สุขภาพจากน้ำมันหอมระเหยไธม์ (Thyme)
1. ต้านเชื้อแบคทีเรีย
ไธม์ อุดมไปด้วยสารประกอบ Thymol มีคุณสมบัติในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะสายพันธุ์ Staphylococcus เช่น Staphylococcus Aureus (MRSA) ที่ดื้อต่อยาปฎิชีวนะเมธิซิลิน
Society for General Microbiology ชี้ให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยไธม์ อาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและราคาไม่แพงสำหรับยาปฏิชีวนะในการต่อสู้กับแบคทีเรียที่ดื้อยา
น้ำมันไธม์ ยังสามารถต้านเชื้อโรคในอาหารหลายชนิด ที่ทำให้อาหารเน่าเสีย และที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น Salmonella, Enterococcus, Escherichia และ Pseudomonas
2. ต้านการติดเชื้อทางเดินหายใจ และอาการไอ
สารประกอบ ไทมอล (Thymol) ในน้ำมันหอมระเหยไธม์ ช่วยลดอาการไอ เมื่อใช้ร่วมกับพริมโรส (Primrose) จะมีประสิทธิภาพช่วยลดอาการไอ ที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
3. ต้านการติดเชื้อรา
น้ำมันหอมระเหยไธม์ ยังมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อรา เช่น Candida albicans ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดที่ทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง หรืออาการคันในช่องคลอด
4. ต้านอนุมูลอิสระ
ไธม์ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงอันดับต้นๆในบรรดาสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน มันเต็มไปด้วยสาร ไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) เช่น ลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin) และนริงอีนิน (Naringenin) ซึ่งมีฤทธิ์ในการกำจัดอนุมูลอิสระ และสารก่อโรคอื่น ๆ ออกจากร่างกาย
5. ลดความเครียด
ไธม์ มีสารประกอบที่ช่วยกระตุ้นความจำ ป้องกันฝันร้าย และความเศร้าโศก บรรเทาอาการปวดศีรษะ และความตึงเครียด สารประกอบ Carvacrol ซึ่งเป็นยากล่อมประสาทตามธรรมชาติ และมีฤทธิ์บำรุงระบบประสาททั้งหมด
ไธม์ยังอุดมไปด้วยวิตามิน B6 หรือ ไพริดอกซิน (pyridoxine) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลิต กาบา (GABA) ที่ช่วยในการควบคุมรูปแบบการนอนหลับ และเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง กาบายังเป็นสารการป้องกันความเครียดตามธรรมชาติที่ดีที่สุดอันนึงอีกด้วย
6. บรรเทาโรคผิวหนัง
น้ำมันไธม์ถูกนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคผิวหนัง เช่น กลาก โดยลดอาการคันเป็นสะเก็ดบนผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้น้ำมันไธม์ในการเด็กเล็ก (ต่ำกว่า 2 ขวบ)
7. ไล่แมลง
น้ำมันไธม์เป็นยากันยุงที่มีประสิทธิภาพ โดยผสมกับน้ำมันตัวพา เช่นน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นก่อนทา
8. ลดผมร่วง
ไธม์ สามารถช่วยหยุดผมร่วงได้โดยช่วยบำรุงการไหลเวียนของเลือดไปที่หนังศีรษะ และไปเลี้ยงรากผม
ผสมน้ำมันหอมระเหยไธม์กับน้ำมันตัวพา และนวดลงบนหนังศีรษะ สามารถช่วยลดอาการผมร่วง และกระตุ้นให้เกิดการงอกของเส้นผมใหม่ได้
สารประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหย Thyme
ไธม์ มีมากกว่า 300 สายพันธุ์ และมีองค์ประกอบทางเคมีที่แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศ และดิน
สารประกอบเทอร์พีนที่พบในน้ำมันไธม์ ได้แก่
- คาร์วาครอล (Carvacrol)
- ไทมอล (Thymol)
- ลินาลูล (Linalool)
- ซีนีนอล (Cineol)
- การบูร (Camphor)
- พิมเสน (Borneol)
ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ไธม์เคยถูกใช้ไปทั่วยุโรปเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคระบาด “กาฬโรคดำ”
สารประกอบในไธม์ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไวรัส อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินที่จำเป็นหลายชนิด เช่นวิตามิน A, E, C, K, B-complex และโฟเลต
ไธม์ยังเป็นหนึ่งในแหล่งแคลเซียม เหล็ก แมงกานีส ซีลีเนียมและ โพแทสเซียมที่ดีที่สุด ไธม์จึงมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อไวรัส ต้านเชื้อแบคทีเรีย ใช้เป็นยาขับลม ขับปัสสาวะ และขับเสมหะ ซึ่งสนับสนุนสุขภาพทั่วทั้งร่างกาย
ไทมอล (Thymol)
มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่รุนแรง สกัดได้จากสายพันธุ์ของ “ไธม์ (Thyme)” และ “ไธม์แดง (Red Thyme)” และจะเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ลินาลูล (Linalool)
มีฤทธิ์อ่อนที่สุด สกัดได้จาก “ไธม์สวน (Garden Thyme)” มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อรา และปรสิต
คาร์วาคอล (Carvacrol)
มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ
ธูจานอล (Thujanol)
มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน และฮอร์โมน มักเรียกว่า “ไธม์หวาน (Sweet Thyme)”
ซิเนออล (1,8 Cineole)
มีคุณสมบัติในการขับปัสสาวะ ลดการอักเสบของเยื่อเมือกในจมูกและลำคอ ขับเสมหะ และเป็นยาแก้ปวด
เสจ - Sage
เสจ เหมาะอย่างยิ่งในการช่วยกำจัดการติดเชื้อ บรรเทาหวัด เสจยังเป็นตัวช่วยย่อยอาหารที่ดี และช่วยผ่อนคลายระบบประสาท
เสจ (Salvia officinalis) เป็นสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน ที่รู้จักกันดีในด้านคุณสมบัติในการรักษาโรค มีประวัติยาวนานที่สุดในการใช้เป็นสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน ในการทำอาหาร และยา
เสจไม่ได้มีไว้ทำอาหารเท่านั้น
ในยุคกลางเสจถูกเรียกว่า “Salvia Salvatrix” ซึ่งแปลว่า “ผู้ช่วยให้รอด”
เพราะเสจเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักของ “น้ำส้มสายชูสี่โจร (Four Thieves Vinegar)” ซึ่งเป็นสูตรผสมที่หัวขโมยในยุโรปศตวรรศที่ 14 ใช้ป้องกันตัวเองจากโรคระบาด “กาฬโรคดำ (Black Plague)” ในขณะที่ออกปล้นสมบัติ ซึ่งสืบทอดมาเป็นสูตรของน้ำมันหอมระเหย Thieves ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน เสจ ยังเป็นที่รู้จักในด้านความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
เสจอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่ดีต่อสุขภาพ
เสจหนึ่งช้อนชา (0.7 กรัม) ประกอบด้วย:
- แคลอรี่: 2
- โปรตีน: 0.1 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต: 0.4 กรัม
- ไขมัน: 0.1 กรัม
- วิตามินเค: 10% ของปริมาณแนะนำต่อวัน (RDI)
- เหล็ก: 1.1% ของ RDI
- วิตามินบี 6: 1.1% ของ RDI
- แคลเซียม: 1% ของ RDI
- แมงกานีส: 1% ของ RDI
เสจ – Sage (Salvia officinalis) กับ คลารี่เสจ – Clary sage (Salvia sclarea) มักถูกเข้าใจว่าเป็นพืชชนิดเดียวกัน แม้ว่าทั้งคู่จะมาจากไม้พุ่มที่เขียวชอุ่มตลอดปี แต่ก็มีความแตกต่างกันมาก
Sage จะมีกลิ่นที่เข้มกว่า ในขณะที่ Clary sage มีกลิ่นหอมหวาน เนื่องจากน้ำมัน Sage อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ในบางคน น้ำมัน clary sage ที่อ่อนโยนกว่าจึงอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ผิวบอบบาง
6 ประโยชน์ต่สุขภาพจากน้ำมันหอมระเหยเสจ (Sage)
1. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
เสจ มีโพลีฟีนอล (Polyphenols) อยู่กว่า 160 ชนิด ซึ่งเป็นสารประกอบทางเคมีในพืช
สารโพลีฟีนอล กลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่น Apigenin, Luteolin และ Diosmetin มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบในร่างกายได้
กรดคลอโรเจนิก กรดคาเฟอิก กรดโรสมารินิก กรดเอลลาจิก และ รูติน ทั้งหมดที่พบในเสจนั้นเชื่อมโยงกับประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง รวมทั้งสนับสนุนการทำงานของสมองและความจำที่ดีขึ้น
มีงานวิจัยพบว่าการดื่มชาเสจ 1 ถ้วย (240 มล.) วันละ 2 ครั้ง ช่วยเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกายได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลรวม ลดคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) อีกทั้งยังเพิ่มคอเลสเตอรอลดี (HDL) ด้วย
2. อาจช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้
มีงานวิจัยในสัตว์และหลอดทดลองแสดงให้เห็นว่า น้ำมันหอมระเหย Sage อาจต่อสู้กับมะเร็งบางชนิด รวมถึง มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งตับ, มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งเต้านม, มะเร็งผิวหนัง และ มะเร็งที่ไตได้
สารสกัดจาก เสจ ไม่เพียงแต่ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเท่านั้น แต่ยังเร่งการตายของเซลล์มะเร็งด้วย
3. อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
เสจ อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวานได้
มีงานวิจัยที่พบว่าสารสกัดจาก เสจ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 โดยช่วยล้างกรดไขมันอิสระส่วนเกินในเลือด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความไวของอินซูลิน
ในมนุษย์ มีงานวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบเสจ สามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือด และเพิ่มความไวของอินซูลิน โดยมีฤทธิ์คล้ายกับยา โรซิกลิทาโซน (Rosiglitazone) ซึ่งเป็นยาต้านโรคเบาหวานชนิดหนึ่ง
4. อาจสนับสนุนหน่วยความจำ และสุขภาพสมอง
เสจ สามารถช่วยสนับสนุนสมอง ช่วยบรรเทาอาการของโรคอัลไซเมอร์ได้
เสจเต็มไปด้วยสารประกอบที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบป้องกันสมอง รวมถึงช่วยหยุดการสลายตัวของสารเคมี acetylcholine (ACH) ซึ่งมีบทบาทในการรักษาโรคอัลไซเมอร์
มีงานวิจัยนำอาสาสมัคร 39 คนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง รับประทานอาหารเสริมสารสกัดเสจ 2 มล. เป็นเวลาสี่เดือน
พบว่าผู้ทดลองที่ทานสารสกัดจากเสจ ได้คะแนนการทดสอบวัดความจำการ แก้ปัญหา การใช้เหตุผล และความสามารถทางปัญญาอื่น ๆ ได้ดีกว่าผูทดลองที่ทานยาหลอก
มีงานวิจัยพบว่าในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี รวมถึงในคนสูงอายุที่สุขภาพดี การทาน น้ำมันหอมระเหย Sage ช่วยเพิ่มความจำ สนับสนุนการทำงานของสมอง และบำบัดอารมณ์
5. ช่วยสนับสนุนสุขภาพช่องปาก
เสจ สามารถต่อต้านการเกิดคราบจุลินทรีย์ (Dental plaque) ที่ฟัน และเหงือกได้
มีงานวิจัยพบว่า น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของ เสจ สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus mutans และ ฆ่าเชื้อรา Candida albicans ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. อาจช่วยบรรเทาอาการวัยหมดประจำเดือน
ในช่วงวัยทอง ร่างกายจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงตามธรรมชาติ
สิ่งนี้อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้มากมาย เช่น ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมาก ช่องคลอดแห้ง และหงุดหงิด
เสจ สามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการวัยหมดประจำเดือนเหล่านี้ได้
มีงานวิจัยพบว่าสารประกอบใน เสจ มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่ง ช่วยเรื่องความจำ บรรเทาอาการร้อนวูบวาบ และบรรเทาการเหงื่อออกมากเกินไป
สารประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหย Sage
ประโยชน์ต่อสุขภาพของเสจ นั้นมาจาก สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) เช่น apigenin, luteolin และ diosmetin ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ
นอกจากนี้
เสจยังเป็นแหล่งที่สำคัญของกรดคาเฟอิก (caffeic acid), กรดคลอโรเจนิก (chlorogenic acid), กรดโรสมารินิก (rosmarinic acid), กรดเอลลาจิก (ellagic acid) และรูติน (rutin) ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญต่อสุขภาพที่ดี
อบเชย - Cinnamon Bark
อบเชย ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร รักษาโรคข้ออักเสบ เบาหวาน ลดการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บคอ ไอชะลอการเน่าเสียของการเน่าเสียของอาหาร อบเชยยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ สนับสนุนภูมิคุ้มกัน ต้านจุลชีพ และต้านมะเร็ง
อบเชย หรือ ซินนาม่อน (Cinnamon) เป็นเครื่องเทศที่มีค่ามากในสมัยก่อน ทำจากเปลือกของต้น Cinnamomum zeylanicum ซึ่งได้รับการยกย่องในคุณสมบัติทางยามาหลายพันปี
อบเชย เป็นสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกันที่ถูกใช้มาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ เคยเป็นของหายาก และมีค่าขนาดใช้เป็นของขวัญที่มอบให้กับเหล่ากษัตริย์
10 ประโยชน์ต่สุขภาพจากน้ำมันหอมระเหยอบเชย (Cinnamon)
1. มีฤทธิ์ทางยาสูง
อบเชยมีส่วนผสมของ “ซินนามัลดีไฮด์ (Cinnamaldehyde)” สูงมาก เป็นสารที่มีสรรพคุณต่อสุขภาพอย่างมาก
2. เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
อบเชยเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพเช่น “โพลีฟีนอล (Polyphenols)”
มีการวิจัยที่เปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของเครื่องเทศ 26 ชนิด
พบว่า…
อบเชยเป็นผู้ชนะที่ชัดเจน
3. มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ
สารต้านการอักเสบในอบเชย ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ และซ่อมแซมความเสียหายของเนื้อเยื่อ
4. ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอล
อบเชยช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล, LDL และไตรกลีเซอไรด์ ในขณะที่มีส่วนช่วยเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลดีที่ร่างกายต้องการ
5. สามารถเพิ่มความไวต่อฮอร์โมนอินซูลิน
มีงานวิจัยพบว่าอบเชยสามารถลดภาวะดื้ออินซูลินได้อย่างมาก โดยช่วยสนับสนุนการทำงานตามปกติของฮอร์โมนอินซูลิน
6. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และมีฤทธิ์ต้านเบาหวานได้ดี
อบเชย ช่วยลดปริมาณ “กลูโคส” ที่เข้าสู่กระแสเลือดหลังมื้ออาหาร โดยการรบกวนเอนไซม์ย่อยอาหาร ซึ่งชะลอการสลายคาร์โบไฮเดรต ช่วยเพิ่มการดูดซึมกลูโคสเข้าสู่เซลล์ ซึ่งช่วยควบคุมสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด
7. ช่วยการทำงานของระบบประสาท
มีการวิจัยสารประกอบที่พบในอบเชย ที่พบว่าอาจช่วยยับยั้งการสะสมของโปรตีนที่เรียกว่า tau ในสมอง ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเด่นของโรคอัลไซเมอร์
8. ลดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
มีหลายงานวิจัยในหลอดทดลอง และในสัตว์ทดลอง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากอบเชยอาจป้องกันมะเร็งได้
โดยลดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง และต้านการก่อตัวของหลอดเลือดในเนื้องอก
9. ช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา
น้ำมันอบเชยสามารถรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่เกิดจากเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อบเชยยังมีฤทธิ์ต้านจุลชีพที่อาจช่วยป้องกันฟันผุ และลดกลิ่นปาก
10. อาจช่วยต่อสู้กับไวรัสเอชไอวี
อบเชยพันธุ์ Cinnamomum cassia อาจช่วยต่อต้านเชื้อ HIV-1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดของไวรัสเอชไอวีในคน
ความต่างของอบเชยสองสายพันธุ์ที่ต้องรู้:
อบเชย Cinnamon มีสองสายพันธุ์หลัก คือ อบเชยแท้ และ อบเชยจีน
“อบเชยแท้”
หรือ อบเชยซีลอน Ceylon cinnamon (Cinnamomum verum) มีถิ่นกำเนิดในศรีลังกา และอินเดียตอนใต้ เป็นอบเชยพันธุ์ที่หายาก ราคาสูงกว่าอบเชยจีน แต่มีความปลอดภัยในการบริโภคมากกว่า
“อบเชยจีน”
หรือ อบเชยแคสเซีย Cassia cinnamon (Cinnamomum aromaticum) เป็นอบเชยที่พบได้ทั่วไป มักวางขายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า เป็นสายพันธุ์จากจีน อินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ
มีการทดสอบอบเชยจีน ที่มีวางจำหน่ายทั่วไปในสหรัฐอเมริกา พบว่ามีสาร คูมาริน (coumarin) ในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นพิษต่อไต ตับ และปอด รวมถึงอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้หากบริโภคมากเกินไป
“อบเชยจีน” มีปริมาณสารคูมาริน 1% ในขณะที่ “อบเชยแท้” มีเพียง 0.004% หรือน้อยกว่าอบเชยจีนถึง 250 เท่า
สารคูมาริน มีปริมาณบริโภคประจำวันที่ยอมรับได้ (TDI) คือ 0.1 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
ในหลาย ๆ กรณีการบริโภค “อบเชยจีน” เพียง 1-2 ช้อนชา อาจทำให้ได้รับสารคูมารินเกินปริมาณที่แนะนำต่อวันได้
สารประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหย Cinnamon
ซินนามัลดีไฮด์ (Cinnamaldehyde), กรดซินนามิก (Cinnamic acid) และซินนาเมต (Cinnamate) เป็นสารประกอบสามชนิดที่พบมากในน้ำมันอบเชย
สารประกอบเหล่านี้นอกจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ยังมีประโยชน์ในการต่อสู้กับโรคเรื้อรัง ต้านโรคเบาหวาน ต้านจุลชีพ ต้านมะเร็ง ลดไขมันและโรคหลอดเลือดหัวใจ
นอกจากนี้ อบเชยยังมีผลการวิจัยว่ามีฤทธิ์ต่อต้านความผิดปกติของระบบประสาท เช่นโรคพาร์คินสัน และโรคอัลไซเมอร์
สำหรับคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระในบรรดาเครื่องเทศ 26 ชนิด พบว่าอบเชยมีศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด
โรสแมรี่ - Rosemary
ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงสมอง เพิ่มความจำ คลายเครียด ลดผมร่วง และใช้เป็นยาบรรเทาอาการปวดหัวครั้งคราวได้ด้วย
โรสแมรี่ (Rosmarinus officinalis) เป็นสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกันที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน มีกลิ่นหอม มักใช้เป็นเครื่องปรุงอาหาร แถมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม และวิตามินบี 6
โรสแมรี่ยังมี ทองแดง แมกนีเซียม และโพแทสเซียม เป็นแหล่งของไฟเบอร์ โฟเลต วิตามินเอ และซี
ชื่อภาษาละติน Rosmarinus officinal หมายถึง “น้ำค้างแห่งท้องทะเล”
โรสแมรี่ ได้รับการยกย่องมาตั้งแต่สมัยโบราณว่ามีสรรพคุณทางยา ช่วยเพิ่มความจำ เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงระบบไหลเวียนโลหิต บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ และช่วยบำรุงเส้นผม
6 ประโยชน์ต่อสุขภาพจากน้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ (Rosemary)
1. สารต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ
อุดมไปด้วยสารประกอบ “โพลีฟีนอล (polyphenol)” เช่น กรดโรสมารินิก (rosmarinic) และ กรดคาร์โนซิก (carnosic) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ ตามธรรมชาติ
สารเหล่านี้ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ช่วยปกป้องร่างกายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และการอักเสบซึ่งอาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่นมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเบาหวานประเภท
สารประกอบในโรสแมรี่ ยังอาจช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อ ใบโรสแมรี่ถูกนำมาใช้ในยาแผนโบราณสำหรับฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และการรักษาบาดแผล
2. เพิ่มความจำ และสมาธิ
โรสแมรี่ อาจช่วยเรื่องความเครียด อารมณ์ และความจำได้
มีการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การสูดดมน้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ ช่วยป้องกันการสลายตัวของ “อะเซเทิลโคลีน (acetylcholine)” ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่มีความสำคัญต่อความคิด สมาธิ และความจำ
การสูดดมกลิ่นโรสแมรี่เป็นเวลา 4–10 นาทีก่อนการทดสอบทางจิต จะช่วยเพิ่มสมาธิ ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และทำให้อารมณ์ดีขึ้น
สารสกัดจากโรสแมรี่ยังช่วยสนับสนุนสมดุลของแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร และลดการอักเสบในฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ การเรียนรู้ และความทรงจำ
3. สนับสนุนสุขภาพสมอง และระบบประสาท
สารคาร์โนซิคในโรสแมรี่สามารถต่อสู้กับความเสียหายจากอนุมูลอิสระในสมอง ป้องกันการตายของเซลล์สมอง
การวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า โรสแมรี่ อาจสนับสนุนการฟื้นตัวจากสภาวะที่อาจนำไปสู่ความเสียหายของสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่นอัลไซเมอร์
กลิ่นของ โรสแมรี่ มาจากสารเทอร์พีน 1,8-cineole ที่เป็นสารประกอบที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อช่วยเพิ่มสารสื่อประสาทที่เรียกว่า “อะเซเทิลโคลีน (Acetylcholine)” ในผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
การสูดดมเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการนำสารเข้าสู่สมอง
เมื่อทานโรสแมรี่ สารสำคัญอาจถูกทำลายโดยตับ แต่การสูดดมโมเลกุลขนาดเล็กของน้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ โมเลกุลของสามารถผ่านเข้าสู่กระแสเลือด และไปยังสมองได้โดยตรง
4. ช่วยคลายเครียด
น้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ช่วยลดความเครียดได้
มีงานวิจัยอาสาสมัคร 22 คน ดมน้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ และลาเวนเดอร์ เป็นเวลา 5 นาที พบว่ามีระดับคอร์ติซอล ฮอร์โมนความเครียดลดลง 23%
5. สนับสนุนสุขภาพตา
การวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า สารโรสมารินิกในโรสแมรี่ สามารถช่วยชะลอการลุกลามของโรคตาที่เกี่ยวข้องกับอายุ ช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก และลดความรุนแรงของต้อกระจก
6. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
การวิจัยเกี่ยวกับโรสแมรี่ พบว่ากรดคาร์โนซิค และกรดโรสมารินิก มีผลคล้ายอินซูลินต่อน้ำตาลในเลือด ซึ่งเพิ่มการดูดซึมกลูโคสเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อ และช่วยลดน้ำตาลในเลือด
7. ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
การนวดน้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ แบบเจือจางบนหนังศีรษะวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
น้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ ช่วยรักษาอาการผมร่วงแบบแอนโดรเจน (androgenetic alopecia) โดยการป้องกันฮอร์โมนเพศชายจากการโจมตีรากผม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการนี้
มีงานวิจัยคนที่มีอาการผมร่วง นวดน้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่ลงบนหนังศีรษะทุกวันเป็นเวลา 7 เดือน ผู้ทดลอง 44% พบว่าอาการผมร่วงดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ใช้น้ำมันที่เป็นกลางอย่าง โจโจบา (Jojoba) และ เกรปซีด (Grapeseed) ที่ดีขึ้นเพียง 15%
สารประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหย Rosemary
แมงกานีส
เป็นแร่ธาตุที่โดดเด่นที่สุดในโรสแมรี่ โดยทำงานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่เรียกว่า “ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมูเทส (superoxide dismutase)” สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม
วิตามินบี
วิตามินบีในโรสแมรี่ ได้แก่ กรดแพนโทธีนิกไพริดอกซิน และไรโบฟลาวิน จำเป็นต่อการสังเคราะห์ดีเอ็นเอก่อนตั้งครรภ์ สารประกอบหลายชนิดในโรสแมรี่ช่วยป้องกันข้อบกพร่องของท่อประสาทในทารกแรกเกิด
กรดคาร์โนซิค (Carnosic)
เป็นสารออกฤทธิ์ในโรสแมรี่ สามารถช่วยป้องกันสมองจากโรคหลอดเลือดสมอง และความเสื่อมของระบบประสาทอันเนื่องมาจากสารพิษ และอนุมูลอิสระ ซึ่งคิดว่าเป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง และภาวะต่างๆ เช่น อัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อม
โรสแมรี่ยังอุดมไปด้วยแคลเซียม เหล็ก และวิตามินบี 6 โรสแมรี่ยังมี ทองแดง แมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามินเอ และซี โฟเลต แคลเซียม และธาตุเหล็กที่ดีเยี่ยม
กานพลู - Clove
กานพลู ช่วยต้านการอักเสบ สนับสนุนภูมิคุ้มกัน กำจัดเชื้อแบคทีเรีย ดูแลสุขภาพช่องปาก และสนับสนุนระบบย่อยอาหาร
กานพลู (Syzygium aromaticum) เป็นเครื่องเทศที่คนทั่วโลกชื่นชอบ เป็นหนึ่งในเครื่องเทศหลักในอาหารอินเดีย
กานพลูเป็นเครื่องเทศที่มีรสหวานและมีกลิ่นหอม แถมยังถูกนำมาใช้ในยาแผนโบราณด้วย กานพลูเต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกาย
กานพลูบด 1 ช้อนชา (2 กรัม) ประกอบด้วย:
- แคลอรี่: 6 kcal
- คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม
- ไฟเบอร์: 1 กรัม
- แมงกานีส: 55% ของปริมาณที่ต้องการต่อวัน (DV) แมงกานีสเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการรักษาการทำงานของสมองและสร้างกระดูกให้แข็งแรง
- วิตามินเค: 2% ของปริมาณที่ต้องการต่อวัน (DV)
ปัจจุบันกานพลูเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับ 4 รองจากหญ้าฝรั่น วานิลลาและกระวาน
10 ประโยชน์ต่สุขภาพจากน้ำมันหอมระเหยกานพลู (Clove)
1. ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
กานพลู มี “ยูจีนอล (Eugenol)” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ในปริมาณสูงอันดับต้นๆในบรรดาสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน
ยูจีนอล ช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อสู้กับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ช่วยลดการติดเชื้อ และต่อสู้กับแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในร่างกาย
กานพลู ช่วยในการรักษาหวัด ช่วยลดการอักเสบ และขับเสมหะได้ในฐานะที่เป็นยาขับเสมหะ ช่วยลดอาการไอได้โดยลดการระคายเคืองที่คอ
2. ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
กานพลู มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ซึ่งช่วยระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
ยูจีนอนในกานพลู ยังมีคุณสมบัติในการช่วยลดการติดเชื้อ และต่อสู้กับแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในร่างกาย
กานพลูสามารถช่วยลดการอักเสบ และขับเมือกได้ในฐานะที่เป็นยาขับเสมหะ รวมถึงช่วยลดอาการไอได้โดยบรรเทาการระคายเคืองคอ
3. ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
กานพลู มีคุณสมบัติในการต้านจุลชีพ ช่วยหยุดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ เช่นแบคทีเรีย
งานวิจัยพบว่าน้ำมันหอมระเหยกานพลู สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียทั่วไป เช่น อีโคไล ซึ่งเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ที่อาจทำให้อาหารเป็นพิษ
ยิ่งไปกว่านั้นคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียของกานพลูยังสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพช่องปากได้อีกด้วย
4. น้ำยาบ้วนปาก และรักษาโรคในช่องปาก
คุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียของกานพลูช่วยลดการแพร่กระจายของแบคทีเรียในช่องปาก
งานวิจัยในหลอดทดลองพบว่าสารประกอบที่สกัดจากกานพลู สามารถหยุดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคเหงือก
หลังจากใช้น้ำยาบ้วนปากจากสมุนไพรกานพลูเป็นเวลา 21 วัน พบว่าสุขภาพเหงือกดีขึ้น รวมทั้งปริมาณคราบจุลินทรีย์ และแบคทีเรียในปากลดลง
หากคุณเบื่อสารเคมีในน้ำยาบ้วนปาก สามารถเปลี่ยนมาใช้กานพลูเป็นทางเลือกจากธรรมชาติ กานพลูไม่เพียงแต่จะทำให้ลมหายสดชื่น แต่ยังให้ประโยชน์ในการต้านการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย
5. ยาแก้ปวดฟัน
น้ำมันกานพลูสามารถใช้เป็นยาแก้ปวดตามธรรมชาติ
การพลูมีคุณสมบัติของยาชาตามธรรมชาติ ที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด และความรู้สึกไม่สบายที่เกิดจากฟันผุ และปัญหาทางช่องปากอื่น ๆ
6. สนับสนุนระบบย่อยอาหาร
กานพลูช่วยสนับสนุนการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งช่วยให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อย และลดความดันก๊าซในกระเพาะอาหาร
7. อาจช่วยป้องกันมะเร็ง
สารประกอบ ยูจินอล ที่พบในกานพลูมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง
การวิจัยในหลอดทดลองพบว่าสารสกัดเข้มข้นจากกานพลูช่วยหยุดการเติบโตของเนื้องอก กำจัดเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร และ เซลล์มะเร็งปากมดลูก
อย่างไรก็ตาม ยูจินอล เป็นพิษในปริมาณสูง และการใช้น้ำมันกานพลูเกินขนาดอาจทำให้ตับถูกทำลายโดยเฉพาะในเด็กเล็ก
8. อาจทำให้สุขภาพตับดีขึ้น
สารประกอบยูจีนอลในกานพลู อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับตับ
งานวิจัยในอาสาสมัคร พบว่า ยูจินอล ช่วยลดระดับของ glutathione-S-transferases (GSTs) ซึ่งเป็นกลุ่มของเอนไซม์ที่มักเป็นตัวบ่งชี้ของโรคตับ รวมถึงช่วยลดความเสียหายต่อเซลล์จากปฎิกริยาออกซิเดชั่นเนื่องจากอนุมูลอิสระ
อย่างไรก็ตาม ยูจินอล ในปริมาณสูงสามารถเป็นพิษได้
กรณีศึกษาหนึ่งในเด็กชายอายุ 2 ขวบพบว่าน้ำมันกานพลู 5–10 มล. ทำให้ตับถูกทำลายอย่างรุนแรง
9. มือปราบสิว
ยูจินอล ที่พบในกานพลูสามารถใช้เพื่อช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ ใช้กานพลูบดกับน้ำผึ้ง และน้ำมะนาว 2-3 หยด ทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก
10. น้ำหอมปรับอากาศ
กานพลู เป็นทางเลือกที่เป็นธรรมชาติ และปลอดภัยมากกว่าน้ำหอมสารเคมี
ต้มเปลือกส้ม กับกานพลู 2-3 ชิ้นในน้ำแล้วปล่อยให้เดือด ช่วยฟอกอากาศ และกำจัดกลิ่นเหม็นในบ้านได้อย่างดี
สารประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหย Clove
กานพลู เป็นสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกันที่อุดมไปด้วยสารประกอบฟีนอลิก (Phenolic) เช่น ยูจีนอล (Eugenol), ยูจีนอลอะซิเตต (Eugenol acetate), และกรดแกลลิก (Gallic acid), กานพลูจึงมีศักยภาพในการใช้งานทางการเกษตร เครื่องสำอาง อาหาร และยา
ยูจินอล (Eugenol)
เป็นสารประกอบที่มีค่าที่สุดที่พบในกานพลู
งานวิจัยทางเภสัชวิทยาพบว่า ยูจินอล มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ต้านการอักเสบ บรรเทาอาการปวด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และต้านมะเร็ง
นอกจากนี้ ยูจินอล ยังมีการใช้อย่างแพร่หลายในงานเกษตรกรรมเพื่อปกป้องอาหารจากจุลินทรีย์ และแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเน่าเสีย หรืออาหารเป็นพิษ
ยูจินอล ในการพลูยังใช้เป็นยาไล่แมลงศัตรูพืชตามธรรมชาติด้วย
เลม่อน - Lemon
เลม่อน มีจุดเด่นในการดีท๊อกซ์ ช่วยชำระล้างสารพิษออกจากร่างกาย กระตุ้นการระบายน้ำเหลือง (Lymphatic Drainage) ช่วยบำรุงผิว ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ต่อสู้กับแบคทีเรีย และเชื้อรา
น้ำมันหอมระเหยเลม่อน (Citrus limon) ถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรเสริมภูมิต้านทาน และการแพทย์อายุรเวชเพื่อรักษาภาวะสุขภาพมานานกว่า 1,000 ปี
น้ำมันหอมระเหยตระกูลซิตรัส (Citrus) เช่นส้ม มะนาว เลม่อน มีประโยชน์มากมายในด้านอาหาร และยา
ในกลุ่มซิตรัส เลม่อน รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความสามารถรอบด้าน ใช้ได้ตั้งแต่น้ำยาฟอกสีฟันธรรมชาติ น้ำยาทำความสะอาดในครัวเรือน น้ำยาซักผ้า และบรรเทาอาการคลื่นไส้
เลม่อน ยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ
ช่วยลดการอักเสบ ต่อสู้กับแบคทีเรียและเชื้อรา ช่วยเพิ่มระดับพลังงาน และช่วยให้ย่อยอาหารได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
น้ำมันหอมระเหยเลม่อน ได้มาจากการนำ “เปลือกเลม่อน” มาสกัดเย็น (Cold pressed) ไม่ใช่น้ำผลไม้ด้านในอย่าที่หลายคนเข้าใจ
เปลือกเป็นส่วนที่มีสารอาหารมากที่สุดของเลม่อน
อุดมไปด้วยสารประกอบจากธรรมชาติหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ เทอร์พีน (terpenes), เซสควิเทอร์พีน (sesquiterpenes), อัลดีไฮด์ (aldehydes), เอสเทอร์ (esters), และสเตอรอล (sterols)
8 ประโยชน์ต่สุขภาพจากน้ำมันหอมระเหยเลม่อน (Lemon)
1. ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่เป็นอันตราย
น้ำมันหอมระเหยเลม่อน เป็นสารต้านจุลชีพตามธรรมชาติเนื่องจากสารประกอบสำคัญ 2 ชนิด คือ ลิโมนีน (Limonene) และ เบต้า-พินีน (B-pinene) ที่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาด กำจัดเชื้อโรค และป้องกันอาหารเน่าเสียง่าย
น้ำมันเลม่อน สามารถใช้ทำความสะอาดบ้าน ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่เป็นอันตราย เช่นแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อโรคที่เป็นอันตรายอื่น ๆ
การใช้เลม่อนเป็นน้ำยาทำความสะอาดจากธรรมชาติ ช่วยให้บ้านของคุณปราศจากสารเคมีอันตรายที่อยู่ในน้ำยาทำความสะอาดทั่วไปอีกด้วย
น้ำมันเลม่อน ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในอาหาร เช่น Listeria monocytogenes, Salmonella, Staphylococcus aureus และ Escherichia coli ที่ทำให้เกิดโรคจากอาหาร หรืออาหารเป็นพิษ
2. บรรเทาอาการไอ และกระตุ้นการระบายน้ำเหลือง
น้ำมันเลม่อน มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ ดังนั้นจึงช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงต่อสู้กับสภาวะโรคทางเดินหายใจ รวมถึงช่วยลดอาการจากโรคภูมิแพ้
น้ำมันเลม่อน มีประโยชน์ต่อระบบน้ำเหลือง ช่วยปกป้องร่ากายจากเชื้อโรคที่เป็นอันตราย และลดอาการบวมที่ต่อมน้ำเหลือง ช่วยกระตุ้นการระบายน้ำเหลือง ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของของเหลวที่อาจทำให้เกิดอาการไอ
3. ช่วยดีท๊อกซ์สารพิษในร่างกาย
น้ำมันเลม่อนมีฤทธิ์ในการช่วยร่างกายชำระของเสียและสารพิษ โดยช่วยขับสารพิษออกทางเลือด และตับ รวมถึงช่วยกระตุ้นการระบายน้ำเหลือง
มีงานวิจัยในหนูที่ได้รับความเสียหายจากตับ และไตเฉียบพลันที่เกิดจากแอสไพริน โดยน้ำมันเลม่อนสามารถช่วยลดความเสียหายต่ออวัยวะทั้งสองได้
งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งได้ทดสอบผลของน้ำมันเลม่อน ต่อสถานะการต้านอนุมูลอิสระของอวัยวะในหนู การบำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหยเป็นเวลา 6 เดือน พบว่ามีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระในเซลล์ตับ และสมอง
4. ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้
หากคุณกำลังมองหาวิธีกำจัดอาการคลื่นไส้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกำลังตั้งครรภ์ และมีอาการแพ้ท้อง น้ำมันหอมระเหยเลม่อน เป็นวิธีการรักษาที่เป็นธรรมชาติ และมีประสิทธิภาพ
มีงานวิจัยผลของการสูดดม น้ำมันหอมระเหยเลม่อน ต่ออาการคลื่นไส้อาเจียนในระหว่างตั้งครรภ์
โดยผู้ทดลองหญิงระหว่างตั้งครรภ์ที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนจำนวน 100 คนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มควบคุมจะสูดดมน้ำมันหอมระเหยเลม่อนทันทีที่รู้สึกคลื่นไส้
พบว่าน้ำมันเลม่อนช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในระหว่างตั้งครรภ์ได้อย่างมาก
5. ช่วยระบย่อยอาหาร
น้ำมันหอมระเหยเลม่อน สามารถช่วยบรรเทาอาการปัญหาทางเดินอาหารต่างๆ เช่น โรคกระเพาะ และอาการท้องผูก
มีงานวิจัยน้ำมันหอมระเหย 3 ชนิด คือ เลม่อน, โรสแมรี่, และเปปเปอร์มินต์ ต่ออาการท้องผูกในผู้สูงอายุ โดยใช้น้ำมันหอมระเหยนวดท้องเป็นเวลา 14 วัน พบว่าช่วยบรรเทาอาการท้องผูก และเพิ่มการทำงานของลำไส้ได้
6. ช่วยบำรุงผิว
น้ำมันหอมระเหยเลม่อนมีประโยชน์ต่อผิว สามารถช่วยลดสิว บำรุงผิวที่ถูกทำลาย และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
น้ำมันเลม่อน สามารถช่วยลดความเสียหายของเซลล์ และเนื้อเยื่อในผิวหนังที่เกิดจากอนุมูลอิสระ เนื่องจากเลม่อนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงฤทธิ์ในการต่อต้านริ้วรอย
น้ำมันเลม่อน ยังช่วยบรรเทาปัญหาผิว เช่น แผลพุพอง แมลงสัตว์กัดต่อย ผิวมัน บาดแผลที่ผิวหนัง เซลลูไลท์ โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) และการติดเชื้อไวรัสที่ผิวหนัง
นี่เป็นเพราะสารต้านจุลชีพตามธรรมชาติของน้ำมันเลม่อน ที่ทำงานเพื่อช่วยรักษาสภาพผิวหนังได้
เนื่องจากเลม่อน เป็นน้ำมันไวแสง ดังนั้นเมื่อใช้ทาผิว ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 12 ชั่วโมง
น้ำมันเลมอนอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ในบางคน ดังนั้นให้ทำการทดสอบทาที่ท้องแขนก่อนใช้ ควรเจือจางเลม่อนด้วยน้ำมันตัวพา (carrier oil) เช่นน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันโจโจบา เมื่อทาบริเวณที่บอบบาง เช่น ใบหน้า
7. ช่วยสลายไขมันในร่างกาย
น้ำมันหอมระเหยเลม่อน สามารถช่วยส่งเสริมการสลายไขมันในร่างกายได้ เป็นหนึ่งในน้ำมันหอมระเหยที่ดีที่สุดสำหรับการช่วยลดน้ำหนัก
น้ำมันเลม่อนยังมีสาร “ดี-ลิโมนีน (d-limonene)” ซึ่งช่วยสนับสนุนการเผาผลาญ รวมถึงช่วยทำความสะอาดต่อมน้ำเหลือง ซึ่งสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้
8. ช่วยรักษาสุขภาพช่องปาก
น้ำมันเลม่อน มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราจึงเป็นวิธีการรักษาตามธรรมชาติสำหรับปัญหาสุขภาพช่องปากหลายชนิด เช่น เชื้อราในช่องปาก และกลิ่นปาก
นอกจากนี้ยังช่วยให้ฟันขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยป้องกันฟันผุได้อีกด้วย
แม้ว่าน้ำผลไม้รสเปรี้ยวจะทำให้ฟันสึกกร่อนเนื่องจากมีลักษณะเป็นกรด แต่น้ำมันหอมระเหยจะไม่ก่อให้เกิดการกัดกร่อนของกรดเหมือนในน้ำผลไม้
ความปลอดภัยในการใช้สมุนไพร และน้ำมันหอมระเหย
บทความนี้มีจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกันเท่านั้น ซึ่งเป็นการบำบัดทางเลือกจากสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในพืชตามธรรมชาติ ไม่ได้ใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัย การรักษา การสั่งจ่ายยา หรือเพื่อทดแทนยาตามที่แพทย์สั่ง
ผู้ที่มีอาการ หรือสงสัยว่ามีอาการป่วย ป่วยเรื้อรัง มีโรคประจำตัว ระหว่างตั้งครรภ์ ระหว่างให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ
สรรพคุณของสมุนไพรแต่ละตัว เป็นสรรพคุณโดยทั่วไปกว้างๆ ซึ่งผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล รวมถึงตามเกรดคุณภาพสมุนไพรวัตถุดิบ และกรรมวิธีการสกัดสารประกอบในสมุนไพรเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วย
เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยในท้องตลาดมีหลายเกรด ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลก่อนเลือกซื้อ โดยเลือกซื้อ น้ำมันหอมระเหยจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ มีแหล่งผลิตที่ชัดเจน และมีการตรวจสอบ-ควบคุมคุณภาพของน้ำมันหอมระเหย