เจาะลึกศาสตร์แห่งกลิ่นบำบัด การทำงานและประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยแท้

หัวข้อ

คุณชอบความรู้สึกเย็นสดชื่นเมื่อสระผมด้วยแชมพูลาเวนเดอร์มิ้นท์ หรือความหอมสดชื่นของกลิ่นมิ้นต์หลังจากแปรงฟันมั้ย?

เปปเปอร์มินต์เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งจากประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหย ทีมีมากกว่าแค่ให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น

หากคุณรักในกลิ่นหอมจากธรรมชาติแท้ๆ เคยได้ยินคนอื่น ๆ แชร์ประสบการณ์ที่พวกเขาใช้น้ำมันหอมระเหยกับตัวเอง แต่คุณยังมีคำถามในใจ:

  • น้ำมันหอมระเหยใช้ได้ผลจริงมั้ย?
  • ประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยต่อร่างกายคืออะไร?
  • น้ำมันหอมระเหยอันตรายไหม?
  • เพราะอะไรหลายคนจึงบอกว่าน้ำมันหอมระเหยคือศาสตร์แห่งการบำบัดทางเลือก?
  • ทำไม Young Living จึงขึ้นชื่อเป็นหนึ่งในผู้นำด้านน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัด?

นี่คือบทความ “จัดเต็ม” สำหรับคุณ

เจาะลึกศาสตร์แห่งอะโรมาเทอราพี และประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยแท้

Share
น้ำมันหอมระเหยในอารยธรรมโบราณ

น้ำมันหอมระเหยในอารยธรรมโบราณ

เป็นเวลาหลายศตวรรษ ที่วัฒนธรรมทั่วโลกหันมาใช้น้ำมันหอมระเหยในการแสวงหาสุขภาพที่ดี

ชาวอียิปต์โบราณ โรมัน เปอร์เซีย และเยอรมัน ต่างใช้สรรพคุณจากน้ำมันหอมระเหยสำหรับการยกระดับทางจิตวิญญาณและศาสนา เสริมสร้างกิจวัตรความงาม เพิ่มรสชาติให้อาหาร และสนับสนุนสุขภาพองค์รวม

แล้วมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่สนับสนุนประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยเหล่านั้นมั้ย?

บทความนี้จะไขความลับทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหย หยิบเสื้อคลุมแล็บของคุณมาใส่ได้เลย!!

งานวิจัยน้ำมันหอมระเหย และกลิ่นบำบัด

หากคุณต้องการนำภูมิปัญญาในประวัติศาสตร์มาใช้งานในยุคปัจจุบัน คุณต้องศึกษางานวิจัย และศาสตร์สรรพคุณเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยเพื่อการบำบัดอย่างจริงจัง

ที่สถาบันวิจัย D.Gary Young Research Institute ห้องปฏิบัติการของ Young Living ที่ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ทำการวิจัยทดสอบความบริสุทธิ์ และสรรพคุณของน้ำมันหอมระเหย รวมถึงวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบ และประโยชน์ของพลังบำบัดจากพืชตามธรรมชาติ

เมื่อเข้าใจวิทยาศาสตร์ของกลิ่นบำบัด คุณจะใช้น้ำมันหอมระเหยแบบได้ประโยชน์สูงสุด มั่นใจและปลอดภัย

แล้วน้ำมันหอมระเหยมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ทำไมถึงมีประโยชน์กับระบบร่างกายของเรา?

องค์ประกอบในน้ำมันหอมระเหย

องค์ประกอบในน้ำมันหอมระเหย

น้ำมันหอมระเหย คือสารประกอบอะโรมาติกที่ระเหยได้ตามธรรมชาติซึ่งพบในพุ่มไม้ ดอกไม้ ต้นไม้ เปลือกไม้ และเมล็ดพืช มักสกัดด้วยการกลั่นด้วยไอน้ำ น้ำร้อน หรือการสกัดเย็น

องค์ประกอบในน้ำมันหอมระเหยมีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิตของพืช

ตั้งแต่กลิ่นที่ช่วยดึงดูดแมลงมาผสมเกสร ไปจนถึงการป้องกันศัตรูภายนอก เช่น แมลง เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราที่ก่อโรค ซึ่งเมื่อนำมาใช้ในร่างกาย หลายๆองค์ประกอบก็ให้ประโยชน์ต่อมนุษย์คล้ายๆกัน

น้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด มีองค์ประกอบทางเคมีที่แตกต่างกัน 200-500 แบบ ซึ่งให้สรรพคุณในการใช้งานที่แตกต่างกันมากมายต่อร่างกาย

  • บรรเทาอาการไอเมื่อเจ็บคอ
  • บรรเทาปวดให้กล้ามเนื้อที่ทำงานหนักเกินไป
  • ให้ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบาย
  • เสริมสร้างสมาธิ
  • เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
  • บำรุงผิวหนังและเส้นผม
  • ปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท ระบบการไหลเวียดเลือด
  • บรรเทาผ่อนคลายความเครียด
  • บำบัดอารมณ์ด้านลบต่างๆ

น้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติทางเคมีที่แตกต่างจากน้ำมันไขมัน (หรือที่เรียกว่ากรดไขมัน) น้ำมันหอมระเหยสามารถ “ระเหย” ได้โดยไม่ทิ้งคราบเหนียวๆ ซึ่งต่างจากน้ำมันไขมันอย่างน้ำมันพืช หรือไขมันสัตว์

น้ำมันหอมระเหยได้ผลจริงมั้ย?

ใช้ได้ผลอย่างแน่นอน หากคุณใช้งานอย่างถูกต้อง

ประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยมีความหลากหลายตามการใช้งาน แต่เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด คุณต้องใช้อย่างถูกต้อง

น้ำมันแต่ละชนิดมาจากพืชที่มีองค์ประกอบ และคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นน้ำมันแต่ละตัวจึงมีการใช้งานที่แตกต่างกัน

นี่คือตัวอย่างในการใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติที่ทรงพลังในน้ำมันหอมระเหย:

  • ทำความสะอาดคราบ: Lemon ช่วยขจัดคราบกาวเหนียวๆ
  • ดูแลเส้นผม: Geranium ทำให้ผมดูเปล่งปลั่งและมีสุขภาพดี
  • ให้ผิวเปล่งปลั่ง: Cedarwood ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี
  • สิวและฝ้า: Tea Tree ช่วยลดการเกิดสิว
  • ดูแลผิว: Helichrysum ช่วยลดเนื้อสัมผัสของโทนสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
  • เติมความชุ่มชื้นให้ผิว: Lavender ช่วยทำความสะอาดและบำรุงสุขภาพผิวแห้ง

น้ำมันหอมระเหยมีกลิ่นที่น่าอัศจรรย์ และประโยชน์การใช้งานที่หลากหลาย

การกระจายกลิ่นน้ำมันหอมระเหยในบ้าน ที่ทำงาน หรือในรถยนต์ จะสร้างกลิ่นหอมอันน่าทึ่งเพื่อให้เข้ากับทุกอารมณ์ คุณยังสามารถสร้างส่วนผสมแบบตามใจตัวเองได้ด้วย นี่คือความเป็นไปได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด!

น้ำมันหอมระเหยส่งผลเร็วขนาดไหน?

น้ำมันหอมระเหยมีความสามารถพิเศษในการถูกดูดซึมเข้าไปในเยื่อหุ้มเซลล์ เดินทางไปทั่วกระแสเลือดและเนื้อเยื่อทุกส่วนในร่างกาย

เนื่องจากโครงสร้างของน้ำมันหอมระเหยมีความคล้ายคลึงกับโครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ของเรา อีกทั้งโมเลกุลของน้ำมันหอมระเหยก็มีขนาดเล็กมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมเข้าไปในเซลล์

เมื่อทาที่ฝ่าเท้า หรือเนื้อเยื่ออ่อน น้ำมันหอมระเหยสามารถเดินทางไปทั่วร่างกายได้ในเวลาไม่กี่นาที

วิธีที่รวดเร็วที่สุด คือการ “สูดดม” น้ำมันหอมระเหยสามารถส่งผ่านประสาทรับกลิ่นตรงไปยังสมอง และส่งผลได้เร็วภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที!!

ประสาทสัมผัสกับน้ำมันหอมระเหย

ประสาทสัมผัสกับน้ำมันหอมระเหย

ตัวรับระบบประสาทสัมผัส (Receptor) คือโปรตีนที่จับกับโมเลกุลประเภทต่างๆ เพื่อใช้สื่อสารทางเคมีภายในร่างกาย

ในตัวคุณมีตัวประสาทสัมผัสนับล้านๆ ตัว พวกมันมีหน้าที่ในการรับรู้การสัมผัส การรับรส และกลิ่น

เมื่อสารประกอบในน้ำมันหอมระเหยจับกับ “ตัวรับ” ที่ประสาทสัมผัส จะกระตุ้นผลลัพธ์ที่มีลักษณะเฉพาะในร่างกาย ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหย และวิธีการใช้

ในบรรดาประสาทสัมผัสทั้งหมด น้ำมันหอมระเหยมีผลต่อการดมกลิ่น (Olfactory) ของคุณมากที่สุด

งานวิจัยที่ตีพิมพ์โดย National Center for Biotechnology Information ความรู้สึกของกลิ่นเป็นหนึ่งในความรู้สึกแรกที่มนุษย์พัฒนาตั้งแต่แรกเริ่มวิวัฒนาการ

มนุษย์ใช้ประสาทสัมผัสในการดมกลิ่น เพื่อระบุอาหาร หาผู้ที่อาจเป็นคู่ผสมพันธุ์ รวมถึงรับรู้ถึงอันตราย ศัตรู และอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่รวมถึงมนุษย์ กลิ่นเป็นวิธีสำคัญที่เราโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม

ในจมูกคุณจะมีตัวรับกลิ่นมากถึง 100 ล้านตัว รอส่งสัญญาณไปยังสมอง! ไม่น่าแปลกใจที่น้ำมันหอมระเหยสามารถกระตุ้นอารมณ์หรือความทรงจำบางอย่างได้ดี

อโรม่าเทอราพี กลิ่นบำบัดที่ธรรมชาติสรรสร้าง

อโรม่าเทอราพี (Aromatherapy) คืออะไร?

กลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย สามารถส่งผลโดยตรงต่อทุกสิ่งในร่างกายตั้งแต่สภาวะทางอารมณ์ ไปจนถึงอายุขัยของคุณ

นักวิทยาศาสตร์ยังคงสำรวจกลศาสตร์ของกลิ่น ซึ่งสามารถอธิบายการทำงานของอโรม่าเทอราพีต่อร่างกายว่าเหมือน “แม่กุญแจและลูกกุญแจ”

โมเลกุลของแต่ละกลิ่นจะเข้ากันได้กับประสาทรับสัญญาณเฉพาะจุดในร่างกาย

เมื่อสูดดมกลิ่นหอม โมเลกุลของกลิ่นในอากาศจะเคลื่อนขึ้นจมูกไปยังเยื่อบุผิวในการรับกลิ่น (Olfactory epithelium) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1 ตารางนิ้วในโพรงจมูก เซลล์รับกลิ่นจะถูกกระตุ้นและส่งสัญญาณต่อไปยังป่องรับกลิ่น (Olfactory bulb) และทำให้เราสามารถรับรู้กลิ่นต่างๆ มากมาย

จากนั้นป่องรับกลิ่นจะส่งสัญญาณไปยังส่วนอื่น ๆ ของสมอง รวมทั้งศูนย์กลางการรับรส (ที่รับรู้ความรู้สึกของรสชาติ) ต่อมทอนซิล (ที่เก็บความทรงจำทางอารมณ์) และส่วนอื่น ๆ ของระบบประสาทส่วนกลาง (ลิมบิก)

ทำไมอโรม่าเทอราพีส่งผลต่อระบบประสาทในร่างกายได้?

ทำไมอโรม่าเทอราพีส่งผลต่อระบบประสาทในร่างกายได้?

ระบบลิมบิก (Limbic) เชื่อมต่อโดยตรงกับส่วนต่างๆ ของสมองที่ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต การหายใจ ความจำ ระดับความเครียด และความสมดุลของฮอร์โมน น้ำมันหอมระเหยจึงมีผลทางสรีรวิทยาและจิตใจอย่างลึกซึ้ง

ความรู้สึกของกลิ่น เชื่อมโยงโดยตรงกับ “สมองลิมบิก” ศูนย์ควบคุมอารมณ์ ความวิตกกังวล ความซึมเศร้า ความกลัว ความโกรธ และความสุข

กลิ่นสามารถปลุกความทรงจำและอารมณ์ก่อนที่เราจะรู้ตัวด้วยซ้ำ

เมื่อได้รับกลิ่น ร่างกายจะตอบสนองก่อนแล้วค่อยคิดทีหลัง ในขณะที่ระสาทสัมผัสอื่นๆ ทั้งหมด (สัมผัส ลิ้มรส การได้ยิน และการมองเห็น) ถูกส่งผ่านสมองธาลามัส (Thalamus) ไปยังสมองส่วนใช้ความคิดและสติปัญญา (Cerebral cortex)

สมองลิมบิก สามารถกระตุ้นสมองไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดของสมองที่ใช้ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ความหิว ความกระหาย ความเหนื่อยล้า การนอนหลับ และนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย (Circadian rhythm)

อโรม่าเทอราพีกระตุ้นฮอร์โมนได้ด้วย!??

ไฮโปทาลามัส ทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมฮอร์โมน และปล่อยฮอร์โมนที่อาจส่งผลต่อการทำงานหลายอย่างของร่างกาย การผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโต ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนไทรอยด์ และสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน ล้วนอยู่ภายใต้ไฮโปทาลามัสนี้

น้ำมันหอมระเหย สามารถกระตุ้นสมองลิมบิก และสมองไฮโปทาลามัสได้โดยตรง

การสูดดมน้ำมันหอมระเหยไม่เพียงแต่ใช้เพื่อต่อสู้กับความเครียด และความบอบช้ำทางจิตใจ แต่ยังช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนจากไฮโปทาลามัสอีกด้วย ส่งผลให้ฮอร์โมนไทรอยด์ (ฮอร์โมนพลังงาน) และฮอร์โมนการเจริญเติบโต (ฮอร์โมนวัยเยาว์และอายุยืนของเรา) เพิ่มขึ้น

ปริมาณของการลดน้ำหนักในกลุ่มอาสาสมัคร มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความถี่ของการใช้เครื่องช่วยหายใจอโรมา

กลุ่มหนึ่งในการศึกษาลดน้ำหนักเฉลี่ย 2 กิโลกรัมต่อเดือน ในช่วงหกเดือน

น้ำมันหอมระเหยอาจใช้เพื่อลดความอยากอาหาร และเพิ่มความอิ่ม

ผ่านความสามารถในการกระตุ้นไฮโปทาลามัส ซึ่งควบคุมความรู้สึกอิ่มหรือความอิ่มของเราหลังมื้ออาหาร

ในงานวิจัยขนาดใหญ่ของ Alan Hirsch, MD ใช้น้ำมันหอมระเหย รวมทั้งเปปเปอร์มินต์ เพื่อกระตุ้นการลดน้ำหนักในผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ (มากกว่า 3,000 คน) ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ประสบความสำเร็จในโปรแกรมควบคุมน้ำหนักทุกประเภท

กลิ่นหอมสามารถเพิ่มความต้องการทางเพศ และความตื่นตัวทางเพศ

ในงานวิจัยแบบสุ่มแบบ double-blind อีกชุดหนึ่งของ Hirsch

เมื่ออาสาสมัครชาย 31 คนได้รับกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย 30 ชนิด แต่ละคนมีความตื่นตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยอิงจากการวัดดัชนีอวัยวะเพศชายและการวัดความดันโลหิตของอวัยวะเพศชายและแขน

กลิ่นที่ทำให้เลือดของอวัยวะเพศชายไหลเวียนเพิ่มขึ้นสูงสุดคือกลิ่น ลาเวนเดอร์และฟักทองผสมกัน

การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าน้ำหอมสามารถกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้โดยการกระตุ้นระบบลิมบิก ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางอารมณ์ของสมอง

น้ำมันหอมระเหยปลอดภัยหรือไม่?

คำตอบคือทั้งใช่ และไม่ใช่…

หากคุณเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ จากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ ศึกษาวิธีใช้ อ่านและปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก และเริ่มต้นการใช้งานอย่างค่อยเป็นค่อยไป

คุณจะใช้งานน้ำมันหอมระเหยได้อย่างปลอดภัย และมีความสุขกับผลลัพธ์ของมัน

น้ำมันหอมระเหยบางชนิด เช่น เลม่อน อาจทำให้เกิดอาการไวต่อแสงได้ ส่งผลให้ผิวบริเวณที่ทาน้ำมันมีรอยดำไหม้ หากคุณสัมผัสรังสี UV หลังจากทาน้ำมันลงบนผิว

ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 12-72 ชั่วโมงหลังจากใช้น้ำมันไวแสงเหล่านี้ (รวมถึงน้ำมันเบลนด์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันไวแสง)

  • Angelica
  • Bergamot
  • Cumin
  • Grapefruit
  • Jade Lemon
  • Lemon
  • Lime
  • Mandarin
  • Orange
  • Tangerine

นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยบางชนิดเป็นน้ำมัน “ร้อน” ซึ่งหมายความว่าสามารถทิ้งความรู้สึกอุ่นหรือเย็นเมื่อทาลงบนผิว เช่น เปปเปอร์มินต์ เปลือกอบเชย (cinnamon bark), พริกไทยดำ (back pepper) และออริกาโน

เมื่อใช้น้ำมันเหล่านี้ ให้เจือจางด้วยน้ำมันตัวพา (carrier oil) ก่อนทาลงบนผิวบริเวณที่บอบบาง เช่น ท้องแขน และรอดูปฏิกิริยา หากไม่มีอาการแพ้ คุณก็พร้อมแล้ว!

ถ้าอยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือระหว่างให้นมบุตรล่ะ?

ในระหว่างตั้งครรภ์ น้ำมันหอมระเหยส่วนใหญ่นั้นปลอดภัย และนำมาซึ่งความสงบสุขและความพึงพอใจสำหรับ(ว่าที่)คุณแม่ได้

การทาถูน้ำมันหอมระเหยไปทั่วท้อง ผู้หญิงหลายคนบอกว่าพวกเขารู้สึกว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากทารกในครรภ์

อย่างไรก็ตาม มีน้ำมันหอมระเหยบางชนิดห้ามใช้ระหว่างตั้งครรภ์

หากคุณอยู่ในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนนี้ ควรใช้ความระมัดระวังมากขึ้น และปรึกษาแพทย์/ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้น้ำมันหอมระเหยเสมอ

แล้วกรณีไหนที่น้ำมันหอมระเหยไม่ปลอดภัย?

อันตรายจากสารปนเปื้อนในน้ำมันหอมระเหย

การปลอมปนของน้ำมันหอมระเหย กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากอุปทานของน้ำมันหอมระเหยคุณภาพสูงลดน้อยลง ในขณะที่ความต้องการยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การปลอมปนอาจเกิดขึ้นได้โดยการเจือจางน้ำมันหอมระเหยด้วยน้ำมันไขมัน

นี่เป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปของบริษัทน้ำมันหอมระเหยบางแห่งในการเพิ่มปริมาณการผลิตและลดต้นทุน รวมถึงการเจือปนด้วยสารเคมีสังเคราะห์ หรือผสมกับน้ำมันหอมระเหยราคาถูกเพื่อเพิ่มปริมาณและเพิ่มผลกำไรสูงสุด

สารเจือปนเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่อความสมบูรณ์ของน้ำมันหอมระเหย และสรรพคุณของการบำบัด

มีกรณีที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากในอียิปต์ต่างกระตือรือร้นที่จะซื้อน้ำมันหอมระเหยในท้องถิ่น โดยเฉพาะน้ำมันดอกบัว

ผู้ขายโน้มน้าวนักท่องเที่ยวว่า น้ำมันนั้นบริสุทธิ์ 100%โดยการจุดไม้ขีดไฟที่คอถังน้ำมัน เพื่อแสดงว่าน้ำมันนั้นไม่ได้เจือจางด้วยแอลกอฮอล์หรือตัวทำละลายปิโตรเคมีอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม การทดสอบนี้ไม่มีตัวบ่งชี้ความบริสุทธิ์ที่เชื่อถือได้

มีสารประกอบสังเคราะห์หลายชนิดที่ไม่ติดไฟสามารถเติมลงในน้ำมันหอมระเหยได้ ซึ่งรวมถึงโพรพิลีนไกลคอล นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติบางชนิดที่มีเทอร์พีนสูงสามารถติดไฟได้

นี่คือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมการศึกษาที่มาของน้ำมันหอมระเหยหรือบริษัทผู้ผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ลาเวนเดอร์ และลาวานดิน ความเหมือนที่แตกต่าง?

ลาเวนเดอร์ และลาวานดิน ความเหมือนที่แตกต่าง?

น้ำมันหอมระเหยที่เจือปน หรือติดฉลากให้เข้าใจผิด อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค
ทุกวันนี้ น้ำมันลาเวนเดอร์ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายตามห้างหรือร้านค้า เป็นน้ำมันลาเวนเดอร์ลูกผสมที่เรียกว่าลาวานดิน (Lavandin) ซึ่งมีปลูกและผลิตทั่วโลก

ลาวานดิน มักถูกให้ความร้อนเพื่อทำให้สารการบูรระเหย ผสมกับไลนาลิลอะซิเตตสังเคราะห์ เพื่อปรับปรุงกลิ่นหอม แล้วติดฉลากขายเป็นน้ำมันลาเวนเดอร์

ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงความแตกต่าง และยินดีที่จะซื้อลาเวนเดอร์ลูกผสมในราคา 200 ถึง 300 บาท ต่อ 15ml ในร้านค้าต่างๆ และบนอินเทอร์เน็ต

ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยได้ยินเกี่ยวกับความสามารถของน้ำมันลาเวนเดอร์ในการรักษาแผลไฟไหม้

ได้ใช้ “น้ำมันลาเวนเดอร์” ที่ซื้อมาจากร้านค้าสุขภาพใกล้บ้าน เพื่อช่วยรักษาแผลน้ำเดือดหกใส่แขน

แต่ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงขึ้นและแผลไหม้นั้นรุนแรงขึ้น ดังนั้นเธอจึงบ่นว่าน้ำมันลาเวนเดอร์ไม่มีประโยชน์สำหรับการรักษาแผลไฟไหม้

เมื่อวิเคราะห์น้ำมัน “ลาเวนเดอร์” ของเธอ กลับพบว่าเป็นลาเวนเดอร์พันธุ์ผสม “ลาวานดิน” ซึ่งมีความแตกต่างทางชีวภาพจากลาเวนเดอร์แท้ (Lavandula angustifolia)

“ลาวานดิน” มีระดับการบูรสูงกว่า (7-18%) ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังไหม้ได้ ในทางตรงกันข้าม “ลาเวนเดอร์แท้” นั้นแทบไม่มีการบูรเลย และยังมีสารช่วยสมานแผลที่ไม่พบในลาวานดิน

Jean Valnet, MD, เขียนเกี่ยวกับตัวอย่างที่คล้ายกันในหนังสือของเขา The Practice of Aromatherapy:

ชายคนหนึ่งกำลังรับการรักษาโรคฝีคัณฑสูตร โดยการหยดเอสเซ้นซ์ลาเวนเดอร์บริสุทธิ์

ผู้ป่วยเริ่มฟื้นตัว แต่เมื่อเขาออกเดินทาง และพบว่าเขาได้ลืมเอสเซ้นซ์ลาเวนเดอร์ไว้ที่บ้าน จึงหาซื้อใหม่ที่ “ร้านขายยา” ทั่วไป

น่าเสียดายที่ลาเวนเดอร์รอบนี้ ไม่ใช่ลาเวนเดอร์ธรรมชาติหรือบริสุทธิ์

การใช้งานเพียงครั้งเดียว ตามมาด้วยการอักเสบที่รุนแรง ชายผู้โชคร้ายคนนี้ไม่สามารถนั่งได้นานกว่าสองสัปดาห์

ในฝรั่งเศส การผลิตน้ำมันลาเวนเดอร์แท้ (Lavandula angustifolia) ลดลงจาก 87 ตันในปี 1967 เหลือเพียง 12 ตันในปี 1998

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ความต้องการน้ำมันลาเวนเดอร์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 100%

นักการตลาดน้ำมันหอมระเหย อาจใช้น้ำมันสังเคราะห์และน้ำมันเจือปนผสมกันเพื่อนำออกจำหน่ายในราคาถูก

มีบริษัทเคมีขนาดใหญ่อยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาที่เชี่ยวชาญในการผลิตสารเคมีสังเคราะห์ที่สามารถเลียนแบบน้ำมันหอมระเหยทั่วไปได้ทุกชนิด

สำหรับน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ทุก 1 กิโลกรัมที่ผลิต จะมีการสร้างน้ำมันสังเคราะห์ประมาณ 10 ถึง 100 กิโลกรัมมาจำหน่ายเทียบ

น้ำมันหอมระเหยที่เจือปนผสมกับสารสังเคราะห์อาจมีอันตรายมาก

นอกจากจะปราศจากผลการบำบัดแล้ว ยังทำให้เกิดผื่น แผลไหม้พุพอง และระคายเคืองต่อผิวหนัง สารเติมแต่งในน้ำมันหอมระเหย เช่น โพรพิลีนไกลคอล, DEP หรือ DOP (ตัวทำละลายที่ไม่มีกลิ่นและใช้เพิ่มปริมาตร) สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้

น้ำมันหอมระเหยแท้ไม่ระคายเคืองผิวจริงมั้ย?

บางคนคิดว่าเนื่องจากน้ำมันหอมระเหย “แท้ 100%” จะไม่ระคายเคืองผิว

นี่คือสิ่งที่ผู้บริโภคมักเข้าใจผิด

น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์บางชนิดอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังได้หากทาแบบไม่เจือจาง

หากใช้น้ำมันออริกาโนโดยตรงกับผิวหนังของบางคน อาจทำให้เกิดรอยแดงรุนแรงได้

น้ำมันจากซิตรัส และเครื่องเทศ เช่น ส้ม และอบเชย อาจทำให้เกิดผื่นขึ้นได้เช่นกัน

แม้แต่เทอร์พีนที่อ่อนในน้ำมันต้นสนอย่าง Pine ก็อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองต่อผู้ที่มีผิวบอบบางได้

น้ำมันหอมระเหยสังเคราะห์ใช้ได้เหมือนกันมั้ย?

แม้ว่านักเคมีจะประสบความสำเร็จในการสร้างองค์ประกอบหลักและกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยบางชนิดในห้องปฏิบัติการ

แต่น้ำมันสังเคราะห์เหล่านี้ไม่มีประโยชน์ในการบำบัด และอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ

น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ประกอบด้วยองค์ประกอบทางชีวภาพหลายร้อยชนิด ซึ่งให้คุณสมบัติการรักษาที่สำคัญแก่น้ำมันเมื่อรวมตัวกัน นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยหลายชนิดยังมีโมเลกุลและไอโซเมอร์ที่ไม่สามารถผลิตได้ในห้องปฏิบัติการ

ปัจจุบัน น้ำมันหอมระเหยทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 300 ชนิด มีการระบุและลงทะเบียนองค์ประกอบโมเลกุลอะโรมาติกหลายพันชนิดในน้ำมันหอมระเหยเพียง 300 ชนิดนี้

98% ปริมาณน้ำมันหอมระเหยที่ผลิตในปัจจุบัน ถูกใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องสำอาง มีเพียงประมาณ 2% ของปริมาณการผลิตที่ใช้สำหรับการรักษาและยา

น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ กับน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดต่างกันยังไง?

น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ กับน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดต่างกันยังไง?

ปัจจัยที่กำหนดความบริสุทธิ์ของน้ำมัน มีตั้งแต่ส่วนของพืชที่ผลิตน้ำมัน สภาพดิน ปุ๋ย (อินทรีย์หรือเคมี) พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ ระดับความสูง วิธีการเก็บเกี่ยว และกระบวนการการกลั่น

พืชวัตถุดิบ และสภาพแวดล้อมของฟาร์มจะต้องปราศจากสารกำจัดวัชพืช และสารเคมีทางการเกษตรอื่นๆ

สารเคมีเหล่านี้สามารถทำปฏิกิริยากับน้ำมันหอมระเหยในระหว่างการกลั่น กลายเป็นสารพิษ เนื่องจากยาฆ่าแมลงหลายชนิดสามารถละลายได้ในน้ำมัน จึงสามารถผสมปนเปื้อนในน้ำมันหอมระเหยได้

น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์กับน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดอาจไม่เหมือนกันเสมอไป

น้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดคืออีกระดับ ของน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์

ถ้าพืชถูกกลั่นในเวลาที่ไม่ถูกต้องของวัน หรือด้วยขั้นตอนการกลั่นที่ไม่ถูกต้อง ส่วนประกอบในการบำบัดของน้ำมันจะหายไป

ตัวอย่างเช่น น้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มินต์ ควรมีเมนทอลระหว่าง 38 – 47% เพื่อใช้ในการบำบัด ในช่วงอากาศร้อนชื้น เปปเปอร์มินต์จะมีเมนทอลจะอยู่ที่ประมาณ 24% เท่านั้น ซึ่งทำให้สรรพคุณใรการบำบัดลดลง หรือหายไป! แต่จะยังเป็นน้ำมันเปปเปอร์มินต์บริสุทธิ์อยู่

ถึงจะได้น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ แต่น้ำมันนั้นจะไม่มีคุณสมบัติในการบำบัดรักษาอีกต่อไป

กุญแจสำคัญในการผลิตน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดคือการรักษาส่วนประกอบอะโรมาติกที่ละเอียดอ่อนภายในน้ำมันหอมระเหยให้ได้มากที่สุด

ส่วนประกอบอะโรมาติกที่เปราะบางจะถูกทำลายได้ง่ายด้วยอุณหภูมิและความดันสูง เช่นเดียวกับการสัมผัสกับโลหะที่เกิดปฏิกิริยา เช่น ทองแดงหรืออะลูมิเนียม นี่คือเหตุผลที่น้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดทั้งหมดต้องถูกกลั่นในถังสแตนเลสที่แรงดันต่ำและอุณหภูมิต่ำ

น้ำมันหอมระเหยออแกนิค ถือเป็นน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดมั้ย?

น้ำมันหอมระเหยออแกนิค ไม่ได้มีคุณสมบัติเทียบเท่าน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดเสมอไป

ผู้บริโภคน้ำมันหอมระเหยรายใหญ่ที่สุดคืออุตสาหกรรมน้ำหอม และอาหาร ซึ่งใช้มาตรฐานที่เรียกว่า AFNOR ซึ่งพัฒนาขึ้นในยุโรป

AFNOR กำหนดความเข้มข้นขั้นต่ำสำหรับสารประกอบ 3-10 ตัวในน้ำมันหอมระเหย แต่ในน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติมีสารประกอบอยู่หลายร้อยตัว ดังนั้น ถึงแม้สารประกอบสำคัญในการบำบัดจะหายไปจากน้ำมันหอมระเหย แต่น้ำมันนั้นจะยังคงเป็นไปตามมาตรฐาน AFNOR

 

แล้ว USDA Organic ล่ะ?

ปัจจุบันไม่มีระเบียบ USDA ในการกำหนดมาตรฐานของน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัด

มาตรฐาน USDA Organic อนุญาตให้มีสารประกอบที่ “ไม่ใช่ออแกนิค” ได้ 5% แต่ก็ยังสามารถติดฉลาก USDA Organic ได้

แม้แต่น้ำมันที่ผลิตจากพืชที่ปลูกในฟาร์มออร์แกนิก ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเป็นน้ำมันหอมระเหยออร์แกนิก

ฟาร์มที่อยู่ใกล้เคียงอาจฉีดพ่นสารเคมีต่างๆ ที่แพร่กระจายไปในอากาศได้ง่าย ซึ่งทำให้พืชผลปนเปื้อน มันเหมือนกับควันบุหรี่มือสอง 

นอกจากนี้ น้ำที่ใช้เพื่อการเพาะปลูกอาจปนเปื้อนสารเคมี เชื้อโรคจากปลาป่วย สัตว์ที่ตายแล้ว หรือแม้แต่ของเสียจากมนุษย์

ผู้ผลิตน้ำมันหอมระเหยบางแห่งใช้สารเคมีในระบบน้ำเพื่อป้องกันท่อน้ำในหม้อไอน้ำจากการสะสมของแร่ธาตุ ซึ่งสารเคมีเหล่านั้นจะผสมกับไอน้ำที่ไหลผ่านพืชวัตถุดิบ ซึ่งสุดท้ายมักจะปนเปื้อนอยู่ในน้ำมันหอมระเหย

รวมทั้งน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากพืชที่ปลูกในฟาร์มออร์แกนิกอาจปนเปื้อนด้วย “สารประกอบอินทรีย์สังเคราะห์” ที่ผู้ผลิตใส่ลงในน้ำมัน

ฉลากอาจเขียนว่า “ออแกนิค” เพียงเพราะพืชวัตถุดิบมาจากฟาร์มออร์แกนิก แต่ไม่ได้หมายความว่ากระบวนการผลิตน้ำมันหอมระเหยนั้นปราศจากสารเคมีปนเปื้อนเสมอไป

นี่คือเหตุผลที่ Young Living ได้พัฒนามาตรฐานน้ำมันหอมระเหยเป็นของตนเองเองที่เรียกว่า Seed to Seal ซึ่งมาตรฐานที่สูงมากสำหรับน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัด

young living lavender farm

ฟาร์ม และวิธีการกลั่น ส่งผลต่อคุณภาพน้ำมันหอมระเหยยังไง?

สภาพภูมิอากาศ ช่วงอุณหภูมิ ระดับความสูงจากน้ำทะเล ปริมาณน้ำฝน และระดับธาตุอาหารในดินของฟาร์ม ล้วนส่งผลต่อคุณภาพของน้ำมันหอมระเหย

ตัวอย่างเช่น ลาเวนเดอร์ ที่ปลูกที่ระดับความสูงต่ำจะมีสารประกอบเอสเทอร์ (ซึ่งช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ปรับสมดุลอารมณ์ และบรรเทาความเครียด) อยู่ในระดับต่ำ

สารประกอบในน้ำมันหอมระเหย ยังขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของปีที่พืชนั้นถูกนำมากลั่นด้วย เช่น ไธม์ หากกลั่นในลางฤดูร้อน หรือฤดูใบไม้ร่วง น้ำมันก็จะยิ่งมีปริมาณไทมอลมากขึ้น

นอกจากนี้…

โรงกลั่นน้ำมันหอมระเหยเชิงพาณิชย์มักใช้แรงดัน และอุณหภูมิในการกลั่นที่สูงมากถึง 5 ปอนด์ และ 150 องศาเซลเซียส เพื่อเร่งกระบวนการสกัดให้เร็วขึ้น และใช้ระยะเวลากลั่นที่สั้นไม่เกิน 40 นาที

กระบวนการนี้ทำให้สามารถสกัด “ท๊อปโน๊ต” หรือกลิ่นหอมออกมาเท่านั้น เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม แต่องค์ประกอบส่วนใหญ่ในน้ำมันหอมระเหยจะหายไปจากความดัน และความร้อนสูงนี้

ในขณะที่การกลั่นลาเวนเดอร์ เพื่อผลิตน้ำมันหอมระเหยบำบัดของ Young Living ใช้ความดัน และอุณหภูมิที่ต่ำ และใช้เวลากลั่นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อรักษาองค์ประกอบสำคัญในน้ำมันลาเวนเดอร์ให้ได้มากที่สุด

น้ำมันหอมระเหยบางชนิด เช่น กำยาน ต้องใช้เวลากลั่นนานถึง 16 ชั่วโมง ในการกลั่นออกมาเป็นน้ำมันหอมระเหยบำบัด

14 เคมีน่ารู้ในน้ำมันหอมระเหย และสรรพคุณต่อร่างกาย

1. อัลเคน (Alkanes)

มีน้ำมันหอมระเหยไม่กี่ชนิดที่มีอัลเคน และน้ำมันหอมระเหยที่มี มักประกอบด้วยแอลเคนน้อยกว่า 1% มักพบในน้ำมันขิง และน้ำมันเลม่อน น้ำมันดอกกุหลาบเป็นน้ำมันชนิดเดียวที่มีอัลเคนสูงถึง 11-19%

2. ฟีนอล (Phenols)

ฟีนอลเป็นสารฆ่าเชื้อและต้านจุลชีพ และอาจช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันได้ ฟีนอลบางชนิดมีฤทธิ์รุนแรง และอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังได้

ฟีนอลที่สำคัญในน้ำมันหอมระเหย คือ ไทมอล (Thymol) และยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งพบมากในระกำ (Wintergreen) 97%, กานพลู (Clove), อบเชย (Cinnamon) และ โหระพา (Basil) และ ออริกาโน (Oregano) 70%

3. โมโนเทอร์ปีนส์ (Monoterpenes)

เป็นองค์ประกอบที่พบได้ในน้ำมันหอมระเหยทุกชนิด มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ สนับสนุนและเสริมความสามารถในการบำบัดขององค์ประกอบอื่น ๆ มักจะเป็นกลิ่นแรกที่พบเมื่อดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหย

โมโนเทอร์ปีนส์พบมากใน เกรปฟรุต (Grapefruit) 93%, ส้ม (Orange), ส้มเขียวหวาน (Tangerine), เลม่อน (Lemon) และกำยาน (Frankincense) 78%

4. เซสควิเทอร์พีน (Sesquiterpenes)

เซสควิเทอร์พีน ช่วยผ่อนคลายเนื้อเยื่อที่อักเสบ และยังสามารถสร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออารมณ์ และความสมดุลของฮอร์โมนด้วย

น้ำมันหอมระเหยมีเซสควิเทอร์พีนที่แตกต่างกันมากถึง 3,000 ชนิด ส่วนใหญ่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด บางกลุ่มมีกลิ่นแรง กลิ่นไม้ หรือกลิ่นเผ็ดร้อน

เซสควิเทอร์พีนพบมากในน้ำมันเช่น ซีดาร์วูด (Cedarwood) 95%, พิมเสน (Patchouli), ไม้จันท์ (Sandalwood), ขิง (Ginger) และ เมอรร์ (Myrrh) 65%

5. เทอร์พีนอื่นๆ

เช่น ไดเทอร์พีน (Diterpenes) พบในน้ำมันหอมระเหยกลั่น ไดเทอร์พีนมีคุณสมบัติคล้ายกับเซสควิเทอร์พีน ถือเป็นยาขับเสมหะ และยาขับปัสสาวะ

6. แอลกอฮอล์ (Alcohols)

แอลกอฮอล์ช่วยให้ความรู้สึดสดชื่น ใช้ทำความสะอาด เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ และต้านไวรัส มีกลิ่นหอมหวานของดอกไม้

น้ำมันที่มีแอลกอฮอล์สูง เช่น โรสวูด (Rosewood) 83%,  พาลมาโรซา (Palmarosa), ผักชี (Coriander), เจอราเนียม (Geranium) และ กุหลาบ (Rose) 60%

7. อีเธอร์ (Ethers)

อีเธอร์ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ ทำให้รู้สึกสงบ ช่วยปลดปล่อยอารมณ์ และมีผลเป็นยากล่อมประสาท

พบมากในน้ำมัน โป๊ยกั๊ก (Anise) 88%, ทาร์รากอน (Tarragon), ผักชีล้อม (Fennel) และ โหระพา (Basil) 65%

8. เอสเทอร์ (Esters)

เอสเทอร์มักจะมีกลิ่นหอมหวานเข้มข้น ช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ปรับสมดุล ต้านเชื้อรา บรรเทาความเครียด และปลดปล่อยอารมณ์ลบ

น้ำมันที่พบเอสเทอร์มาก เช่น ระกำ (Wintergreen) 97%, โรมันคาโมมายล์ (Roma chamomile), คลารี่เสจ (Clary sage) และ เพตติเกรน (Petitgrain) 57%

9. อัลดีไฮด์ (Aldehydes)

อัลดีไฮด์มีกลิ่นหอมแรง เป็นสารต้านจุลชีพ ต้านการอักเสบ รวมถึงช่วยผ่อนคลายระบบประสาท บรรเทาความเครียดทางอารมณ์ และลดความดันโลหิตได้

อัลดีไฮด์พบมากในน้ำมัน ตะไคร้ (Lemongrass) 67%, เมล็ดยี่หร่า (Cumin) และ อบเชย (Cinnamon) 46%

10. คีโตน (Ketones)

คีโตนมีกลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัว ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองและบรรเทาปวดได้ ส่งเสริมการรักษาฟื้นฟู (การสร้างเซลล์ใหม่) และทำความสะอาดหน่วยรับสัญญาณต่างๆในร่างกาย (receptor)

คีโคนพบมากในน้ำมัน ซีดาร์วูด (Cedarwood) 87%, สเปียร์มินต์ (Spearmint), เมล็ดยี่หร่า (Caraway) และ ฮิซซอป (Hyssop) 52%

11. กรดคาร์บอกซิลิก (Carboxylic acids)

เป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ ของน้ำมันหอมระเหย เช่นกรดซินนามิกในอบเชย กรดเจอรานิกในเจอเรเนียม และกรดวาเลอรินิกในวาเลอเรียน กรดคาร์บอกซิลิกเป็นตัวกระตุ้น และช่วยทำปฏิกิริยากับสารประกอบอื่นๆ ได้อย่างมาก

12. ออกไซด์ (Oxides)

น้ำมันหอมระเหยมีปริมาณออกไซด์ 1,8-ซินีโอล หรือที่เรียกว่ายูคาลิปตอล ในปริมาณที่แตกต่างกันไป

ยูคาลิปตอลมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการคัดจมูก และทำความสะอาดไซนัส ยูคาลิปตอลพบมากในยูคาลิปตัสโกลบูลัส โรสแมรี่ และไธม์

13. แลคโตน (Lactones)

แลคโตน เช่น คีโตน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยขับเสมหะ มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ ต้านปรสิต และต้านการอักเสบได้

น้ำมันที่มีแลคโตนมาก เช่น กัญชาแมว (Catnip) 13% และ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง (Celery seed) 11%

14. คูมาริน (Coumarins)

คูมารินมีกลิ่นหอมของหญ้าแห้งหรือหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ ที่จริงแล้วเมื่อคุณตัดหญ้า คุณกำลังปล่อยคูมารินขึ้นไปในอากาศ

คูมารินมีประสิทธิภาพในการบำบัดที่สูง แม้ในปริมาณเล็กน้อย คูมารินมีคุณสมบัติแก้อาการกระสับกระส่าย ต้านไวรัส ต้านแบคทีเรีย และต้านเชื้อรา

คูมารินพบมากในเลม่อน (Lemon) 4%, ลาเวนเดอร์ (Lavender), มะกรูด (ฺBergamot) และ ทาร์รากอน (Tarragon) 3%

15. ฟิวรานอยด์ (Furanoids)

ฟิวรานอยด์สามารถมีประโยชน์เหมือนแลคโตนหรือคูมาริน ที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ ต้านปรสิต และต้านการอักเสบได้

ฟิวรานอยด์พบมากที่สุดในน้ำมัน เมอรร์ (Myrrh) 23%

Seed to Seal Standard

มาตรฐานของน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัด Young Living

“Seed to Seal” คือมาตรฐานคุณภาพน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัด ที่เป็นจุดเด่นของ Young Living

Young Living กำหนดให้ผู้ผลิตพันธมิตรทุกคนที่ต้องการขายน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดให้กับ Young Living ส่งตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ เพื่อให้แน่ใจว่าองค์ประกอบทั้งหมดมีอยู่ในน้ำมันเหมาะสมในการใช้บำบัด

Young Living กำหนดให้ฟาร์มน้ำมันหอมระเหยต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ก่อนสามารถเข้าร่วมเป็นฟาร์มพันธมิตร

ตัวอย่างน้ำมันที่ส่งตรวจสอบระหว่างเดือนพฤษภาคม 2007 ถึงตุลาคม 2011 โดยผู้กลั่นที่ต้องการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ Young Living พบว่ากว่า 34% ไม่ผ่านมาตรฐานของ Young Living และถูกปฏิเสธ

เนื่องจาก Young Living มีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคที่ซื้อน้ำมันหอมระเหย Young Living จึงสามารถตรวจสอบการตอบสนองของลูกค้า และเก็บบันทึกประโยชน์ในการบำบัดที่แท้จริงของน้ำมันชนิดต่างๆ ได้

Young Living เปรียบเทียบองค์ประกอบของน้ำมันต่างๆ เพื่อกำหนดศักยภาพสูงสุดที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ Young Living จึงเป็นหนึ่งในผู้นำที่เข้าใจศาสตร์ของน้ำมันหอมระเหยอย่างแท้จริงมายาวนานกว่า 27 ปี

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Young Living ได้ซื้อและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยเพื่อการบำบัด เป็นคลังข้อมูลอ้างอิงที่มีส่วนประกอบมากกว่า 400,000 รายการ

จากฐานข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยนี้ Young Living ได้พัฒนามาตรฐานของตนเองเพื่อรักษาศักยภาพการบำบัดสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับน้ำมันหอมระเหย

young living lab

การควบคุมคุณภาพของน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัด

ห้องปฏิบัติการวิจัยและควบคุมคุณภาพของ Young Living ในยูทาห์ สหรัฐอเมริกามีเครื่องมือแก๊สโครมาโตกราฟี (GC) สี่เครื่อง สองในสี่เครื่องนี้มีแมสสเปกโตรมิเตอร์ (GC-MS) ด้วย

เครื่องมือเหล่านี้เป็นอุปกรณ์เพียงชนิดเดียวในโลกที่ถูกใช้ในการสอบเทียบสำหรับการวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหยเพื่อการบำบัดโดยศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติในฝรั่งเศส (CNRS: Center National de la Recherche Scientifique)

หากส่วนประกอบเพียง “หนึ่ง” องค์ประกอบในน้ำมันหอมระเหยอยู่นอกเกณฑ์ที่กำหนด น้ำมันนั้นไม่เป็นไปตามมาตรฐานน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์เพื่อการบำบัดสำหรับ Young Living

ตัวอย่างเช่น น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ที่ผลิตในภูมิภาคหนึ่งของฝรั่งเศสอาจมีคุณสมบัติทางเคมีที่แตกต่างจากที่ปลูกในภูมิภาคอื่น

ส่งผลให้น้ำมันอาจไม่เป็นไปตามมาตรฐาน เช่น มีการบูร (camphor) มากเกินไป (1.0% แทนที่จะเป็น 0.5%) ภาวะนี้อาจเกิดจากการกลั่นลาเวนเดอร์ที่มีสีเขียวเกินไป หรือเนื่องจากสภาพอากาศบางอย่างในช่วงเวลาเก็บเกี่ยว

เครื่องแก๊สโครมาโตกราฟี กับมาตรฐานน้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัดของ Young Living มีความละเอียดสูงถึงขนาดแยกความแตกต่างของลาเวนเดอร์แท้ จากลาเวนเดอร์สายพันธุ์ผสม หรือลาวานดิน (lavandin) ได้

โดยปกติ ลาเวนเดอร์สายพันธุ์ผสม จะมีระดับการบูรสูง ซึ่งสามารถระบุได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม แทสเมเนียสามารถผลิตลาเวนเดอร์สายพันธุ์ผสม ที่ให้น้ำมันหอมระเหยซึ่งมีระดับการบูรต่ำซึ่งเลียนแบบองค์ประกอบของลาเวนเดอร์ที่แท้จริง

โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบน้ำมันหอมระเหยของลาเวนเดอร์แทสเมเนีย โดยใช้แก๊สโครมาโตกราฟีที่มีความละเอียดสูงและเปรียบเทียบกับมาตรฐานของ Young Living สามารถระบุลาเวนลาเวนเดอร์พันธุ์ผสมเหล่านี้ได้

ในสหรัฐอเมริกา มีเพียงไม่กี่บริษัทลงทุนเครื่องมือและวิธีการวิเคราะห์ที่เหมาะสมเพื่อวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหยเกรดบำบัด

ห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์สำหรับวิเคราะห์สารเคมีสังเคราะห์ ไม่ใช่สำหรับการวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์จากธรรมชาติ

ไขความลับน้ำมันหอมระเหยด้วย Gas Chromatography และ Mass Spectrometry

ไขความลับน้ำมันหอมระเหยด้วย Gas Chromatography และ Mass Spectrometry

แก๊สโครมาโตกราฟี (GC) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ ที่ใช้ในการแยกส่วนประกอบอะโรมาติกจำนวนมากที่พืชผลิตเป็นน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ

เครื่องมือวิเคราะห์ทั่วไปอีกตัวสำหรับการแยกและการระบุส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหยคือ แก๊สโครมาโตกราฟี แมสสเปกโตรมิเตอร์ (GC-MS)

CG-MS เป็นเครื่องตรวจจับพิเศษที่สามารถระบุชื่อส่วนประกอบน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดจากฐานข้อมูลส่วนประกอบน้ำมันหอมระเหย

เครื่อง CG-MS สามารถระบุส่วนประกอบน้ำมันตามการจัดเรียงของอะตอมของคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ซึ่งใช้เพื่อแยกและระบุส่วนประกอบแต่ละส่วนของน้ำมันหอมระเหย

หลังจากการตรวจสอบเบื้องต้น เครื่อง GC จะใช้สำหรับการควบคุมคุณภาพเพื่อกำหนดเปอร์เซ็นต์ของแต่ละส่วนประกอบในน้ำมันหอมระเหย

นักวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการฝึกอบรมสามารถตรวจสอบการปลอมปนของน้ำมันหอมระเหยได้โดยใช้ CG-MS

ตัวอย่างเช่น ในงานวิจัยของ Young Living ปี 2012 ศึกษาเกี่ยวกับความแตกต่างในส่วนประกอบของกำยานสองชนิดคือ Sacred Frankincense (Boswellia sacra) และ Frankincense (Boswellia carterii)

พบว่ามีความแตกต่างของปริมาณสาร α-pinene ใน Sacred Frankincense คือ +8.24 ในขณะที่ใน Frankincense คือ -0.68

วิธีนี้ผู้ผลิตทั่วไปมักไม่ค่อยใช้มากนักเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง

IRMS (Isotope Ratio Mass Spectrometry) ตรวจสารเจือปนระดับอะตอม

สิ่งนี้จำเป็นเพราะบางครั้งผู้ผลิตบางรายก็สามารถที่จะปลอม หรือเจือปนน้ำมันหอมระเหยได้อย่างแนบเนียน ซึ่งไม่สามารถระบุความเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ได้ด้วยเครื่อง CG-MS เพียงอย่างเดียว

เครื่อง IRMS วัดอัตราส่วนไอโซโทปของอะตอมแต่ละตัวในน้ำมัน โดยการเปรียบเทียบอัตราส่วนเหล่านี้กับน้ำมันตามธรรมชาติ และน้ำมันสังเคราะห์

ทำให้นักวิจัย Young Living สามารถระบุการเจือปนน้ำมันหอมระเหยที่ระดับอะตอมได้

น้ำมันที่เจือปนหรือน้ำมันสังเคราะห์จะถูกปฏิเสธจาก Young Living

ความซับซ้อนนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำมันต้องได้รับการวิเคราะห์โดยนักเคมีเชิงวิเคราะห์ ที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นพิเศษเกี่ยวกับการตีความของแก๊สโครมาโตกราฟี และแมสสเปกโทรสโกปี

นักเคมีตรวจสอบองค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหยทั้งหมดเพื่อกำหนดความบริสุทธิ์ โดยวัดความสัมพันธ์ของส่วนประกอบต่างๆ ในน้ำมัน

หากมีส่วนประกอบบางอย่างเกิดขึ้นในปริมาณที่สูงกว่าส่วนประกอบอื่นๆ ส่วนประกอบเหล่านี้จะให้ร่องรอยที่สำคัญเพื่อตรวจสอบว่าน้ำมันมีการเจือปนหรือไม่

การปนเปื้อนในน้ำมันหอมระเหยเป็นปัจจัยหลักที่ Young Living ให้ควาสำคัญอย่างมาก

น้ำมันทุกล็อตจะได้รับการทดสอบในขั้นต้นโดย GC-MS โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการวิจัยและการควบคุมคุณภาพของ Young Living น้ำมันล็อตที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้จะถูกปฏิเสธ และส่งคืนไปยังผู้ผลิต

Search